วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เก็บมาฝาก

ROMANCEMATHEMATICS

Smart man + smart woman = romance
ผู้ชายเท่ห์ + ผู้หญิงเก่ง = ความ โรแมนติก

Smart man + dumb woman = affair
ผู้ชายเก่ง + ผู้หญิงโง่ = ความใคร่ *

Dumb man + smart woman = marriage
ผู้ชายโง่ + ผู้หญิงเก่ง = การแต่งงาน

Dumb man + dumb woman = pregnancy
ผู้ชายโง่ + ผู้หญิงโง่ = ตั้งท้อง **

* OFFICE ARITHMETIC *

Smart boss + smart employee = profit
เจ้านายเก่ง + ลูกน้องเก่ง = กำไร **

Smart boss + dumb employee = production
เจ้านายเก่ง + ลูกน้องโง่ = ผลผลิต **

Dum! b boss + smart employee = promotion
เจ้านายโง่ + ลูกน้องเก่ง = เลื่อนตำแหน่ง

Dumb boss + dumb employee = overtime
เจ้านายโง่ + ลูกน้อง โง่ = OT อย่างเดียว **

* SHOPPING MATH *

A man will pay $2 for a $1 item he needs.
ผู้ชายจ่าย 2 บาท ต่อ ของ 1 ชิ้นที่เขาต้องการ

A woman will pay $1 for items that she doesn't need.
แต่ ผู้หญิงจ่าย 1 บาท ต่อ ของหลายๆชิ้น ที่เธอไม่ต้องการ **

* GENERAL EQUATIONS & STATISTICS *

A woman worries about the future until she gets a husband.
ผู้หญิงจะกังวลเกี่ยวกับอนาคตจนกว่าจะมีสามี **

A man never worries about the future until he gets a wife.
แต่ ผู้ชายไม่เคยกังวลเกี่ยวกับอนาคตเลยจนกระทั่งมีภรรยา **

A successful man is one who makes more money than his wife can spend.
ผู้ชายที่ประสบความสำเร็จ คือ คนที่สามารถหาเงินได้มากกว่าที่ภรรยาใช้ **

A successful woman is one who can find such a man.
แต่ผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จ คือ คนที่สามารถหาสามีได้อย่างคนข้างบน **

* HAPPINESS *

To be happy with a man, you must understand him a lot and love him a little.
การจะมีความสุขกับผู้ชายคนหนึ่ง คุณจะต้องเข้าใจเค้ามากๆ แต่รักเค้าน้อยๆ

To be happy with a woman, you must love her a lot and not try to understand her at all.
การจะมีความสุขกับผู้หญิงคนหนึ่ง คุณต้องรักเธอมากๆ และไม่ต้องพยายามเข้าใจอะไรในตัวเธอ ทั้งสิ้น **

* LONGEVITY *

Married men live longer than single men do, but married menare a lot more willing to die.
ผู้ชายที่แต่งงานแล้วจะมีอายุยืนกว่าชายโสด แต่ชายที่แต่งงานแล้วกลับเต็มใจเลือกที่จะตายมากกว่าอยู่ **

* PROPENSITY TO CHANGE *
A woman marries a man expecting he will change, but he doesn't. **
ผู้หญิงแต่งงานกับผู้ชาย และหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงเค้าได้ แต่ผู้ชายไม่เปลี่ยน*

A man marries a woman expecting that she won't change, and she does. **
ส่วน ผู้ชายแต่งงานกับผู้หญิง และหวังว่าเธอคงจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่เธอก็เปลี่ยน **

* DISCUSSION TECHNIQUE *
A woman has the last word in any argument.
ผู้หญิงมักมีคำพูดสุดท้ายในการโต้เถียง

Anything a man says after that is the beginning of a new argument.
แต่อะไรก็ตามที่ผู้ชายพูดออกมาต่อจากนั้น จะเป็นการเริ่มการโต้เถียง ครั้งใหม่

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ครูและผู้บริหารไม่ชอบอ่าน=เด็กไม่ชอบไม่รักการอ่านด้วย

สวัสดีทศวรรษการอ่านแห่งชาติ

การอ่านโดยความหมายที่จะพัฒนาความรู้ ความคิด และจินตนาการของผู้เรียน มี ๒ ลักษณะ

๑) อ่านออกและเขียนได้
หมายถึงรู้จักหลักภาษาหรือหลักไวยากรณ์ภาษา
คือ รู้อักษรทั้ง ๓ แบบ คือ รู้พยัญชนะ รู้สระ และรู้วรรณยกต์
รู้การประสมอักษร

จากนั้นคือรู้ออกเสียงถูกต้อง และรู้ความหมายของคำ
อันว่าความหมายของคำนั้น มี ๒ ระดับเป็นอย่างน้อย คือ
(๑) ความหมายโดยตรง เช่น กิน คือ การรับอาหารเข้าไปในปาก เคี้ยวแล้วกลืน แต่บางคนก็ไม่เคี้ยว หลึดเลย พะนะ! หลึดเลย
(๒) ความหมายแฝง/ความหมายโดยนัย เช่น กิน หมายถึง การ
ทุจริตฉ้อฉลเงินหลวง ซึ่งการวิเคราะห์ความหมายแฝงนี้ ต้องดูบริบทของคำประกอบด้วย

การอ่านออกและเขียนได้นี้ เป็นพื้นฐานที่จะนำไปสู่การอ่านเพื่อการเรียนรู้และรับรู้สหวิทยาการอื่น ๆ ตามความเหมาะสม

๒) อ่านเพื่อพัฒนาความคิด
การอ่านในลักษณะนี้ เป็นการอ่านเพื่อวิเคราะห์ สังเคราะห์ ให้เห็นและเข้าใจสารัตถะของภาษาและถ้อยคำในรูปแบบการเขียนชนิดต่าง ๆ เช่นนิทาน สารคดี เรื่องสั้น นวนิยาย กวีนิพนธ์ และข้อเขียนประเภทอื่น

การอ่านแบบที่ ๒) นี้ นอกจากผู้อ่านจะมีความเข้าใจในเรื่องไวยากรณ์ภาษา คือ รู้เสียง รู้คำ และรู้ความหมายโดยตรงของคำและความหมายแฝงของคำแล้ว
เป็นการอ่านเพื่อพัฒนารสนิยม ความคิดและจินตนาการ เป็นการอ่านเพื่อสร้างฐานทางปัญญา ให้รู้จักแยกแยะระหว่างความดี ความงามและความจริง รู้จักคุณค่าของตัวเอง ธรรมชาติ และสัจธรรมบางประการ โดยเฉพาะการเข้าใจในคุณค่ามนุษย์ ฯลฯ

ดังนั้น หนังสือที่จะใช้อ่านเพื่อพัฒนาความรู้และยกระดับความคิดในนัยที่ว่านี้จึงต้องเป็นหนังสือที่ดี

หนังสือที่ดี หมายความว่า
(๑) ต้องแต่งดี คือมีรูปแบบการเขียนที่ดี จะเป็นงานเขียนร้อยแก้วหรือร้อยกรองก็ตาม แต่งดีหมายถึงมีการใช้คำที่สื่อความดี ไม่ว่าจะมองโดยความหมายตรงหรือความหมายแฝงเร้นก็ตาม คือใช้คำอย่างอลังการ หรือเรียกว่า มีสุนทรียรสในการใช้คำ หนังสือดี
(๒) ต้องมีเนื้อหาดี คือยกระดับสติปัญญา และสำนึกในความเป็นมนุษย์ที่มีคุณค่าในตัวเอง และมองเห็นคุณค่าของผู้อื่น เนื้อหาที่ดีเปรียบได้ดังโคมไฟที่ส่องทางไปข้างหน้าให้ผู้อ่านบรรลุไปสู่จุดหมายปลายทางของความรู้สึกนึกคิดอย่างงดงามและสามารถนำมาปรับประยุกต์ใช้กับชีวิตได้อย่างง่ายงาม

พูดสั้น ๆ ว่า หนังสือดีคือมีความเข้มข้นและกลมกลืนกันทั้งรูปแบบการเขียน (การใช้คำ) เนื้อหา (ความหมาย) เรียกว่า มีความอลังการศาสตร์ของปรัชญาตะวันออก และหลักสุนทรียศาสตร์ (Aesthetics Theory) ของชาวตะวันตก

.................................................................................
ผู้เขียนพูดมายืดยาวเช่นนี้ หาได้มีความคิดที่จะอวดรู้หรือสอนหนังสือสังฆราชแต่ประการใดไม่ แต่อยากพูดถึงปัญหาสำคัญหลาย ๆ ประการในการส่งเสริมการอ่านของบ้านเราในโรงเรียนประถมศึกษาและโรงเรียนมัธยมศึกษาของเรา คือ :

๑) มีความเข้าใจสับสนหรือไม่ระหว่าง (ก) การอ่านออกและเขียนได้ กับ (ข) การอ่านเพื่อพัฒนาความรู้และความคิด

การอ่านตามความหมายในข้อ ก อาจใช้หนังสือเรียนเป็นหลัก แต่การอ่านตามข้อ (ข) อาจใช้หนังสืออ่านประกอบประเภทวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ การอ่านตามความหมายใยข้อ (ก) อาจใช้หนังสือเรียนเป็นหลัก แต่การอ่านตามข้อ (ข) อาจใช้หนังสืออ่านประกอบประเภทวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์

๒) ถ้ามีความเข้าใจผิดเพี้ยนสับสน เพราะไม่สนใจ ไม่ใส่ใจศึกษา ตามข้อ (ก) ถามว่า ใครคือผู้ที่สับสนตามนั้น ระหว่างครูกับผู้บริหาร และรวมทั้งพ่อแม่ผู้ปกครองนักเรียน!

๓) ถามต่ออีกว่า จริงหรือไม่ ที่การจัดซื้อหนังสือเข้าห้องสมุด ไม่ได้สนใจประเด็นดังกล่าวตามข้อ ๒) ทั้งนี้เพราะครูห้องสมุดก็ไม่ได้สนใจในวิชาความรู้เรื่องหนังสือดีและหนังสือด้อย

๔) ถ้าข้อ ๓) เป็นจริง ผู้เขียนขอถามต่อว่า จริงหรือไม่ที่งบประมาณซื้อหนังสือเข้าห้องสมุดแต่ละปี ครูและผู้บริหารไม่ได้สนใจว่า หนังสือที่ได้มานั้น มีสาระประโยชน์แค่ไหน อย่างไร เพราะส่วนมากก็ล็อกสเป็กกันมาตั้งแต่เขตพื้นที่การศึกษา

๕) ดังนั้น จริงหรือไม่ว่า ทั้งข้อ ๑) - ๔) นั้น สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของการส่งเสริมการอ่าน และอาจจะพูดได้ว่า :

(ก) ครูและผู้บริหารไม่สนใจที่จะเลือกซื้อหนังสือดี ๆ อย่างจริงจัง เพราะไม่ใส่ใจอ่านหนังสือ และสนใจแต่ผลประโยชน์และตำแหน่งขีดขั้นส่วนตนจนเคยตัว

(ข) ครูและผู้บริหารไม่สนใจที่จะสร้างบรรยากาศส่งเสริม กระตุ้นให้เด็กรู้จักหนังสือ รักหนังสือ และรักการอ่าน ตามลำดับกระบวนการที่พึงมีและพึงกระทำ เพราะลูกของครูและลูกผู้บริหารไม่ได้เรียนที่โรงเรียนที่ตัวเองสอน แต่ส่งไปเรียนในเมืองหรือโรงเรียนสาธิต

ค) จริงหรือไม่ที่ ๒๐ - ๓๐ ปีมานี้ โรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาไม่ได้ใส่ใจจริงจังในการสร้างเสริมประสบการณ์ด้านการอ่านให้เด็ก ๆ ปล่อยตามบุญตามกรรม

เรมีแต่พูดและพูดกันในห้องประชุมและพูดไว้ในกระดาษอันเงียบเชียบและว่างเปล่า แต่เราไม่เคยใส่ใจที่จะทำ

มีคำกล่าวว่า "การอ่านเป็นเรื่องยาก แต่การมีชีวิตอยู่โดยไม่อ่านเป็นเรื่องยากยิ่งกว่า"

น่าเสียดายที่ประเทศของเรา กระทรวงศึกษาธิการของเรา รวมทั้งผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ตำแหน่งใหญ่โต ไม่เคยใส่ใจกับคุณภาพของหนังสือที่ถูกมือแห่งผลประโยชน์จับยัด ๆ เข้ามาในห้องสมุด น่าเสียดายที่โรงเรียนของเราไม่ใส่ใขและไม่สนใจวิชาความรู้เกี่ยวกับหนังสือดี ๆ เพื่อเด็ก ๆ และน่าเสียดายยิ่งนักที่เด็ก ๆ ไม่มีหนังสือดี ๆ อ่าน แม้ว่าเราจะมีเงินงบประมาณมากพอในระดับหนึ่งก็ตาม

ครูและผู้บริหารสนใจสิ่งอื่น ๆ ไม่ได้สนใจการเรียนรู้และพัฒนาความคิดของเด็ก ๆ ผ่านการอ่านอย่างซาบซึ้งกับหนังสือดี

จากอดีตถึงปัจจุบันนั้น เราคงเห็นผลร้ายของการจัดการศึกษาที่ขาดปรัชญาในการส่งเสริมการอ่านอย่างจริงจัง

อนาคตก็เช่นกัน การไม่อ่านหนังสือ เพราะครูและผู้บริหาร รวมทั้งผู้ใหญ่ที่คิดสั้น ๆ คิดแคบและคิดเห็นแต่ประโยชน์เฉพาะหน้าและพวกพ้อง มัวแก่งแย่งแข่งขันขดขั้นตำแหน่ง อคติต่อความดีงามและอุดมคติของผู้อื่นอยู่ ทำให้เด็ก ๆ สูญเสียโอกาส

บางที ผู้เขียนอดคิดไม่ได้ว่า คนที่ขาดการสะสมสติปัญญาจากการอ่านอย่างรุนแรงนั้น เขาจะเติบโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่แบบไหน
ในเมื่อเขาขาดแง่มุมทัศนะทางสุนทรียภาพในความคิด ขาดมุมมองและขาดความลึกซึ้งทางความคิดต่อปรากฏการณ์ทางสังคม

การอ่านหนังสือที่ดีนั้น ช่วยให้ผู้อ่านมองเห็นความคิดที่ดีได้ด้วยหัวใจ ทำให้มีมุมคิดที่เข้มข้นและแหลมคมได้ ความเข้มแข็ง ความมีรสนิยมและความเชื่อศรัทธาที่ดีต่อสิ่งต่าง ๆ ล้วนก่อกำเนิดมาจากการอ่านที่ยาวนานทั้งนั้น

เราจะมีความหวังที่จะเห็นสังคมสงบสุข มีพลังทางปัญญาสร้างสรรค์ได้อย่างไร ในเมื่อสถานศึกษาหรือโรงเรียน ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานบ่มเพาะคนดี ชีทางดี โดยครูบาอาจารย์และผู้บริหาร ไม่ได้สนใจการอ่านของเด็ก ๆ อย่างจริงจังและจริงใจมากนัก

เราไม่รู้จักหนังสือ เราไม่เคยหยิบยกหนังสือมาแนะนำกับเด็กแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ว่าจะอยู่ในรายวืชาใดก็ตาม เรามัวแต่สอนวิชาความรู้แบบท่องจำ แต่เราไม่สนใจวิชาความรู้แบบวิเคราะห์สังเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ เราไม่อ่านแม้แต่น้อย

ดังนั้น เด็ก ๆ ก็จึงไม่อ่านหนังสือกัน เพราะครูอาจารย์และผู้บริหารก็ไม่อ่านหนังสือ!


(คัดลอกจากข้อเขียนประกอบการอภิปรายของ
อาจารย์ชัชวาลย์ โคตรสงคราม เมื่อเดือนกันยายน ๒๕๕๑
ที่ค่ายเยาวชนส่งเสริมการอ่านและเขียน จังหวัดศรีษะเกษ)

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ความรู้เกี่ยวกับบัตรประชาชน

เลขบัตรประชาชนทุกคนมีจำนวนเท่ากันหรือไม่ เลขแต่ละตัวหมายถึงอะไร

ข้อมูลจากสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครองระบุว่าเลขประจำตัวประชาชนของคนไทย
มี 13 หลักเท่ากันทุกคน ไม่ซ้ำกัน และไม่มีการเปลี่ยนหรือยกให้ใคร ระบบตัวเลขนี้รองรับจำนวน
ประชากรได้อีกมากในระดับ 100 ปี ผู้สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร.1548 ไทยเริ่มกำหนดเลข
ประจำตัว 13 หลักในทะเบียนบ้านหรือบัตรประชาชนตั้งแต่ 1 มกราคม 2527 และจัดระบบจนถึง
วันที่ 31 พฤษภาคม 2547

หลักที่ 1 หมายถึง บุคคลซึ่งมีอยู่ 8 ประเภท ได้แก่
ประเภทที่ 1 คนที่เกิดและมีสัญชาติไทยและได้แจ้งเกิดภายในกำหนดเวลา 15 วันตามกฎหมาย โดย
เกิดตั้งแต่ 1 มกราคม 2527 เป็นต้นไป เด็กคนนั้นถือเป็นบุคคลประเภท 1 มีเลขประจำตัวขึ้นด้วยเลข1
ประเภทที่ 2 คนที่เกิดและมีสัญชาติไทยได้แจ้งเกิดเกินกำหนดเวลาเมื่อไปแจ้งภายหลังเด็กคนนั้นจะ
เป็นบุคคลประเภท 2 มีตัวเลขขึ้นด้วยเลข 2
ประเภทที่ 3 คนไทยและคนต่างด้าวที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
ในสมัยเริ่มแรก (คือตั้งแต่ก่อน 31 พฤษภาคม 2527)
ประเภทที่ 4 คนไทยและคนต่างด้าวที่มีใบสำคัญคนต่างด้าวแต่แจ้งย้ายเข้าโดยยังไม่มีเลขประจำตัว
ประชาชนในสมัยเริ่มแรก
ประเภทที่ 5 คนไทยที่ได้รับอนุมัติให้เพิ่มชื่อเข้าไปในทะเบียนบ้านในกรณีตกสำรวจหรือกรณีอื่นๆ
ประเภทที่ 6 ผู้ที่เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผู้ที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายแต่อยู่
ในลักษณะชั่วคราว เช่น ชนกลุ่มน้อยตามชายแดนหรือชาวเขา กลุ่มนี้ถือว่าเป็นผู้เข้าเมืองโดยไม่ชอบ
ด้วยกฎหมาย ส่วนบุคคลที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายแต่อยู่ชั่วคราว เช่นนักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติ
ที่เดินทางเข้าประเทศไทย แม้บางคนจะถือพาสปอร์ตประเทศของตนแต่อาจจะมีสามีหรือภริยาคนไทย
จึงไปขอทำทะเบียนประวัติ เพื่อให้มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านสามีหรือภริยาคนทั้งสองแบบที่ว่านี้ถือว่าเป็น
บุคคลประเภท 6
ประเภทที่ 7 บุตรของบุคคลประเภทที่ 6 ซึ่งเกิดในประเทศไทย คนกลุ่มนี้ในทะเบียนประวัติจะมี
เลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 7
ประเภทที่ 8 คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฎหมาย คือผู้ที่ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
หรือคนที่ได้รับการแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทย และคนที่ได้รับการให้สัญชาติไทยตั้งแต่หลัง วันที่
31 พฤษภาคม 2527 เป็นต้นไปจนปัจจุบัน
คนทั้งแปดประเภทนี้จะมีเพียงประเภทที่ 3, 4 และ 5 เท่านั้นที่จะมีบัตรประจำตัวประชาชน
ได้เลย ส่วนประเภทที่ 1 และ 2 จะมีบัตรประจำตัวประชาชนได้ก็ต่อเมื่อมีอายุถึงเกณฑ์
ทำบัตรประจำตัวประชาชน คืออายุ 15 ปี แต่สำหรับบุคคลประเภทที่ 6, 7 และ 8 จะมีเพียงทะเบียน
ประวัติเล่มสีเหลืองเท่านั้น จะไม่มีการออกบัตรประจำตัวประชาชนให้
หลักที่ 2 ถึงหลักที่ 5 หมายถึงรหัสของสำนักทะเบียนหรืออำเภอที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนขณะที่ให้เลข กล่าวคือ เลขหลักที่ 2 และ 3 จะหมายถึงจังหวัดที่อยู่ ส่วนหลักที่ 4 และ 5 หมายถึงเขตหรืออำเภอ
ในจังหวัดนั้นๆ
หลักที่ 6 ถึงหลักที่ 10 หมายถึงกลุ่มของบุคคลแต่ละประเภทตามหลักแรก ซึ่งทางสำนักทะเบียน
ในแต่ละแห่งก็จะจัดกลุ่มเรียงไปตามลำดับหรือหากเป็นเด็กเกิดใหม่ในปัจจุบันเลขดังกล่าว
ก็จะหมายถึงเล่มที่ของสูติบัตร (ใบแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตออกให้) ซึ่งก็คือเลขประจำตัวในทะเบียนบ้าน
ของเด็กที่แต่ละอำเภอหรือเขตออกให้ และจะปรากฏในบัตรประชาชนเมื่อถึงอายุต้องทำบัตรนั่นเอง
แต่ถ้ายังไม่ถึงเกณฑ์เลขนี้ก็จะปรากฏอยู่แค่ในทะเบียนบ้านของเด็กเท่านั้น
หลักที่ 11 ถึงหลักที่ 12 หมายถึงลำดับที่ของบุคคลในแต่ละกลุ่มประเภทหรือหมายถึงใบที่ของสูติบัตร
หลักที่ 13 เป็นตัวเลขตรวจสอบความถูกต้องของเลขทั้ง 12 หลักแรก

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ข้อคิดดีๆสำหรับผู้ที่ชนะและที่พ่ายแพ้

ข้อคิดดีๆ ผู้แพ้และผู้ชนะ



1.When a winner commits a mistake, he say I'm wrong (Habit 1 : Be proactive)
ผู้ชนะ : เมื่อพบว่ามีข้อผิดพลาด จะพูดว่า ฉันทำผิดเอง

When a loser commits a mistake, he says it's not my fault
ผู้แพ้ : เมื่อพบข้อผิดพลาด จะพูดว่า ไม่ใช่ความผิดของฉัน



2.A winner works harder and has more time than a loser (Habit 2 :Begin with the end in mind)
ผู้ชนะ : จะทำงานหนักกว่าปกติ และมีเวลามากกว่าผู้แพ้

A loser always is too busy to do what is necessary (Habit 3 : Put first thing
first)
ผู้แพ้ :จะทำงานแบบยุ่งทั้งวัน โดยที่ไม่คิดว่างานไหน ควรทำก่อนทำหลัง



3.A winner faces and solves his/her problems (Habit 1 : Be proactive)
ผู้ชนะ : จะเผชิญหน้ากับปัญหาและลงมือแก้ไขปัญหานั้น

A loser does otherwise
ผู้แพ้ : จะทำในทางตรงข้าม หลีกเลี่ยงปัญหา



4) A winner makes things happen (Habit 1 : Be proactive)
ผู้ชนะ : จะลงมือทำงานให้ปรากฏผลงานขึ้น

A loser makes promises
ผู้แพ้ : จะให้แต่คำสัญญา คือมีแต่ลมปาก แต่ไม่ลงมือ

5) A winner wld say " I am good but not as good as I want to be "(Habit 1 : Be proactive)
ผู้ชนะ : จะพูดว่า “ ฉันทำได้ดี แต่ยังไม่ดีเท่ากับที่ฉันต้องการ “

A loser wld say " I am not as bad as others
ผู้แพ้ : จะพูดว่า “ ยังมีคนอื่นอีกหลายคนที่มีผลงานแย่กว่าตัวเขา “



6) A winner listens, understand and responds (Habit 5 : Seek first to u
nderstand then be understood)
ผู้ชนะ : จะตั้งใจฟัง แล้วทำความเข้าใจ และ สามารถตอบสนองได้

A loser only waits until it's his/her turn to speak
ผู้แพ้ : จะรออย่างเดียว โดยไม่ฟัง ไม่ทำความเข้าใจสิ่งที่คนอื่นพูด
รอจนกว่าจะถึงคิวที่จะได้พูดเรื่องของตัวเอง



7) A winner respects people who are superior to him and wld like to learn from them (Habit 1 : Be proactive)'
ผู้ชนะ : จะยอมรับ นับถือคนที่มีความสามารถเหนือกว่า และจะเรียนรู้จากคนเหล่านั้น

A loser does otherwise, and wld try to find his superior's faults
ผู้แพ้ : จะทำในทางตรงข้าม และจะพยายามหาข้อผิดพลาดของคนที่เหนือกว่าเขา



8) A winner is responsible not just for his own work (Haibt 4 : Think
win-win and Habit 6 : Synergize)
ผู้ชนะ : จะมีความรับผิดชอบ ไม่เพียงแต่งานที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น จะช่วยคิดให้องค์กรประสบความสำเร็จ ( ไม่ใช่ไปก้าวก่ายงานคนอื่นนะ)

A loser will not dare help others and wld say I'm just doing my job
ผู้แพ้ : จะไม่กล้าที่จะช่วยเหลือคนอื่น และ มักจะพูดว่า ฉันไม่ว่าง กำลังทำงานของฉันอยู่


9) A winner wld say " There shd be a better way to do it "
(Habit 1 : Be proactive and Habit 2 : Begin with the end in mind)
ผู้ชนะ : ต้องมีวิธีที่จะทำให้ดีขึ้นได้ เสมอ

A loser wld say " This is the only way to do "
ผู้แพ้ : จะพูดว่า “ นี่คือหนทางเดียวที่ทำได้ “



10) A winner like you will share this with his/her friends (Habit 4 & 6)
ผู้ชนะ : จะแบ่งปันบทความนี้ไปยังเพื่อนๆของเขา

A loser will just keep this to himself/herself because he/she
doesn't hv time to share this with &nbs p;others.
ผู้แพ้ : จะเก็บบทความนี้เอาไว้ เพราะว่า เขาไม่มีเวลาที่จะแบ่งปันไปให้คนอื่น





ที่มา : Ps.Nual

เกณฑ์เลื่อนขั้นเงินเดือน(ใหม่)

ศธ.คลอดเกณฑ์เลื่อนขั้นเงินเดือน
การศึกษา-สาธารณสุข 24 พฤศจิกายน 2552 - 00:00

ศธ.คลอดเกณฑ์เลื่อนขั้นเงินเดือน หลังยกเลิกระบบซี วางกรอบคะแนนผลสัมฤทธิ์ของงาน 80% ที่เหลือเป็นสมรรถนะการปฏิบัติหน้าที่ 20% แต่รวมแล้วต้องไม่ต่ำกว่า 70% ถึงจะได้ปรับเงินเดือน แถมกำหนดขั้นบันไดเงินเดือนที่จะได้รับการเลื่อนขั้น ต่ำสุด 0.1-1.5% และสูงสุดไม่เกิน 4-6%

นายชินภัทร ภูมรัตน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่าที่เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยถึงผลการประชุมเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินผลการปฏิบัติราชการและการเลื่อนเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.ศธ.) เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ที่ประชุมได้มีการหารือเพื่อเตรียมการสำหรับการกำหนดหลักเกณฑ์การประเมินผลการปฏิบัติราชการ รวมถึงการเลื่อนขั้นเงินเดือนของข้าราชการพลเรือน เนื่องจากในปีงบประมาณ 2553 จะต้องเริ่มใช้การเลื่อนเงินเดือนในระบบใหม่ที่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากเดิมเป็นขั้นเงินเดือน ทั้งนี้ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ทำหนังสือเวียน ก.พ.ว20 ลงวันที่ 3 กันยายน 2552 มายัง สป.ศธ.

ปลัด ศธ.กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมกำหนดให้การประเมินผลการปฏิบัติราชการ มี 2 องค์ประกอบ คือ 1. ผลสัมฤทธิ์ของงาน ร้อยละ 80 และ 2.พฤติกรรมการปฏิบัติราชการ หรือสมรรถนะ ร้อยละ 20 จากที่ ก.พ.กำหนดว่าต้องให้ความสำคัญกับผลสัมฤทธิ์ของงานไม่ต่ำกว่า 70% ทั้งนี้ เนื่องจากปีนี้เป็นปีแรกที่เริ่มใช้ระบบนี้ ที่ประชุมจึงต้องการให้ความสำคัญกับผลสัมฤทธิ์ของงานมากกว่าสมรรถนะ เพราะการกำหนดสมรรถนะของแต่ละสายงานอาจจะยังไม่ชัดเจน แต่หลังมีความชัดเจนแล้ว ก็จะเพิ่มสัดส่วนสูงขึ้น

ปลัด ศธ.กล่าวต่อไปว่า สำหรับผลสัมฤทธิ์ของงาน 80% นั้น จะพิจารณาจาก 4 เรื่อง ได้แก่ 1.ปริมาณผลงาน 2.คุณภาพ 3.ความรวดเร็ว และ 4.ความประหยัดคุ้มค่า ส่วนตัวชี้วัดและค่าเป้าหมาย จะพิจารณาจากงานที่ได้รับมอบหมาย คือ งานตามคำรับรองประจำปี งานตามหน้าที่ความรับผิดชอบหลัก และงานที่ได้รับมอบหมายเป็นพิเศษซึ่งทั้ง 3 ส่วนนี้จะมากำหนดตัวชี้วัดประเมินผลสัมฤทธิ์ของงาน โดย ก.พ.กำหนดว่าตัวชี้วัด มีค่าน้ำหนักไม่น้อยกว่า 10% ของคะแนนรวม หรือมีไม่เกิน 10 ตัวชี้วัด เพื่อไม่เป็นภาระในการเก็บข้อมูล ส่วนการประเมินสมรรถนะ 20% นั้น จำแนกเป็น 2 ส่วน คือ 1.สมรรถนะหลัก จะประเมินกับข้าราชการพลเรือนทุกคน ใน 5 เรื่อง คือ การมุ่งผลสัมฤทธิ์ การบริการที่ดี การสั่งสมความเชี่ยวชาญ การยึดมั่นในความถูกต้อง การทำงานเป็นทีม และ 2.สมรรถนะทางการบริหาร จะวัดกลุ่มข้าราชการอำนวยการขึ้นไป ประกอบด้วย 6 ด้าน คือ สภาวะผู้นำ การวางกลยุทธ์ศักยภาพในการนำการปรับเปลี่ยน การควบคุมตนเอง การสอนงานและมอบหมายงาน

นายชินภัทรกล่าวต่อไปว่า ในการประเมินจะมีการกำหนดช่วงคะแนน ตลอดจนกำหนดจำนวนข้าราชการในแต่ละช่วงคะแนนด้วย เพราะต้องผูกโยงกับการเลื่อนเงินเดือน ซึ่งต่างจากระบบเลื่อนขั้นเงินเดือนในอดีต ที่ไม่มีการกำหนดจำนวนข้าราชการในแต่ละช่วงคะแนน ส่งผลทำให้แม้ผลคะแนนการประเมินออกมาสูง แต่ข้าราชการกลับไม่ได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือน เนื่องจากงบประมาณที่ได้รับมีจำกัด ทั้งนี้ จะมีการแบ่งกลุ่มคนที่ได้รับการประเมินออกเป็น 5 กลุ่ม ดังนี้ 1.กลุ่มปรับปรุง ต่ำกว่า 60 คะแนน กำหนดสัดส่วนข้าราชการที่อยู่ในกลุ่มนี้ 5% ซึ่งจะไม่ได้เลื่อนเงินเดือน, กลุ่มพอใช้ ระหว่าง 60-69 คะแนน สัดส่วน 10% เลื่อนเงินเดือน 0.1-1.5%, กลุ่มดี ระหว่าง 70-79 คะแนน สัดส่วน 70% เลื่อนเงินเดือน 1.6-3%, กลุ่มดีมาก ระหว่าง 80-89 คะแนน สัดส่วนไม่เกิน 10% เลื่อนเงินเดือน 3.1-4.5% และกลุ่มดีเด่น ระหว่าง 90-100 คะแนน สัดส่วนไม่เกิน 5% เลื่อนเงินเดือน 4.6-6% ทั้งนี้ การประเมินเพื่อเลื่อนเงินเดือนจะแบ่งเป็น 2 ช่วง โดยช่วงแรกจะเสร็จสิ้นวันที่ 31 มีนาคม 2553 และช่วงที่ 2 เสร็จสิ้นวันที่ 30 กันยายน.
-----------------------------
จากไทยโพสต์ออนไลน์

คนเก่งในเมืองไทยมีมากมายแต่ที่มีจิตสำนึกยังไม่มากพอ

จากกรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ปธ.แพทย์ชนบท ไม่อยู่เป็นตรายางคกก.แก้ไขปัญหา"ไทยเข้มแข็ง"เหตุปรับลดจัดซื้อแค่10% รองปลัดสธ.ระบุ22คนเห็นตรงกันแค่ราคาท้องถิ่น ไม่น่าลาออก
น.พ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าวว่า ตนได้ขอลาออกกลางที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาความเหมาะสมและแก้ไขปัญหาโครงการไทยเข้มแข็ง เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้ทักท้วงเรื่องการจัดสรรงบประมาณไม่เหมาะสมและราคาที่ตั้งไว้สูงเกินจริง แต่ปรากฏว่า ท้ายที่สุดคณะกรรมการฯ พยายามจะยึดราคาตามที่กองแบบแผนเสนอมา โดยปรับลดราคาลงได้เพียงประมาณ 10% เท่านั้น ไม่พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตามที่นำเสนอ ทั้งที่ น่าจะปรับลดราคาได้ถึง 25% ทำให้อึดอัดใจ และไม่อยากเป็นเป็นเครื่องมือ หรือตรายางให้ใคร
น.พ.สถาพร วงษ์เจริญ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาความเหมาะสมและแก้ไขปัญหาโครงการไทยเข้มแข็ง กล่าวว่า ยืนยันว่าการกำหนดราคากลางสิ่งก่อสร้างโครงการไทยเข้มแข็ง ทางคณะกรรมการฯได้พิจารณาอย่างเหมาะสม เพื่อให้ทุกจังหวัดสามารถจัดจ้างได้
"ขณะที่ราคาที่นายแพทย์เกรียงศักดิ์ ระบุเป็นราคาท้องถิ่น อีกทั้งกรรมการทั้ง 22 คนยังเป็นชอบตรงกัน ยกเว้นเพียง นายแพทย์เกรียงศักดิ์คนเดียวเท่านั้น และการลาออกก็ถือเป็นสิทธิ์ แต่ความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องลาออกได้ เพียงแต่สงวนความเห็นบันทึกในรายการการประชุมได้" รองปลัดสาธารณสุข ระบุ
---------------------------------------------------------------
ดีใจคนไทยเก่ง............
....นักวิจัยจุฬาฯ คิดค้นนวัตกรรมผลิตเอทานอลบริสุทธิ์ 99.5 ด้วยแผ่นเยื่อบางซีโอไลท์ชนิดโซเดียม – เอ โดยไม่ต้องกลั่นซ้ำให้เปลืองพลังงาน
“แก๊สโซฮอล์”เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่เป็นส่วนผสมระหว่าง เอทิลแอลกอฮอล์หรือเอทานอลที่มีความบริสุทธิ์ร้อยละ ๙๙.๕ ขึ้นไปผสมกับน้ำมันเบนซินได้รับการพัฒนาขึ้น เพื่อเป็นพลังงาน ทางเลือกทดแทนน้ำมันเบนซิน มีข้อดีคือมีโครงสร้างทางเคมีของแอลกอฮอล์ทำให้การเผาไหม้สมบูรณ์ สามารถช่วยลดมลพิษทาง อากาศได้ และมีราคาถูกกว่าน้ำมันเบนซินทั่วไป
เอทานอลเป็นพลังงานทดแทน ชนิดหนึ่งที่ประเทศไทยสามารถผลิตเองได้จากการหมักและกลั่น ผลิตผลทางการเกษตร เช่น อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพด ฯลฯ
โดยเริ่มแรกได้ผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิงในสัดส่วนร้อยละ 5 หรือ เรียกว่าแก๊สโซฮอล์ E5 ปัจจุบัน รัฐบาลมีนโยบายที่จะผลิตแก๊ส โซฮอล์ E20 คือ ผสมเอทานอลบริสุทธิ์ในน้ำมันร้อยละ 20 เอทานอลบริสุทธิ์
เอทานอลมีความสำคัญต่อประเทศในด้านพลังงาน มากขึ้นทุกวัน หากสามารถผสมลงในน้ำมันในสัดส่วนที่ยิ่งมาก ก็จะยิ่งช่วยลดปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศได้ นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรไทย และทำให้เงินตรา หมุนเวียนอยู่ในประเทศอีกด้วย
ส่วนประเทศอื่นๆ ก็มีการตระหนัก ถึงความสำคัญของเอทานอลบริสุทธิ์มากขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐ อเมริกา ที่มีนโยบายว่าในอนาคตจะใช้ เอทานอลบริสุทธิ์แทนน้ำมัน เชื้อเพลิง และประเทศบราซิลก็มีการใช้แก๊สโซฮอล์ E100 ซึ่งก็คือเอทานอลบริสุทธิ์อย่างเดียว
ปัจจุบันประเทศไทยมีโรงงานผลิตเอทานอลที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการ เอทานอลแห่งชาติให้ผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงทั้งสิ้น 45 โรงงาน มีกำลังผลิตรวมประมาณ 11 ล้านลิตรต่อวันซึ่งยังไม่ เพียงพอต่อความต้องการที่มีอย่างน้อย 15 ล้านลิตรต่อวัน
วิธีการผลิตที่นิยมใช้คือการกลั่น โดยนำเอทานอลที่ได้จากการหมัก ผลิตผลทางการเกษตรซึ่งมีความบริสุทธิ์ร้อยละ 12 มากลั่นด้วย พลังงานค่อนข้างสูงจนได้ความบริสุทธิ์ร้อยละ 95.5 ซึ่งสามารถนำไปใช้ในโรงงานผลิตสุราหรือผลิตสารปิโตรเคมีได้ แต่ยังไม่สามารถ ผสมในน้ำมันเชื้อเพลิงได้ เนื่องจากต้องมีความบริสุทธิ์อย่างน้อย ร้อยละ 99.5
โรงงานจึงต้องทำการกลั่นซ้ำ ทำให้ต้องใช้พลังงาน เพิ่มขึ้น บางโรงงานจะใช้สารเคมีบางชนิดดูดซับน้ำจากเอทานอล แต่สารชนิดนี้มีราคาแพงและต้องใช้พลังงานความร้อนในการแยกน้ำ
รศ.สุจิตรา วงษ์เกษมจิตต์ อาจารย์ประจำวิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี จุฬาฯ หนึ่งในคณะวิจัยที่คิดค้นนวัตกรรมการผลิตเอทานอลบริสุทธิ์เท่ากับหรือมากกว่าร้อยละ 99.5 โดยการใช้แผ่นเยื่อบางซีโอไลท์ชนิดโซเดียม - เอ กล่าวว่า ถือเป็นนวัตกรรมสำหรับประเทศไทย แต่มีใช้อยู่แล้วในประเทศญี่ปุ่นและจีน
แผ่นเยื่อบางดังกล่าวสามารถสังเคราะห์ขึ้นมาเองจากสารตั้งต้นคือซิลิกาและอะลูมิน่า ซึ่งหาได้ในประเทศไทยและมีราคาถูกแผ่นเยื่อบางที่ได้จะมีความ ทนทานใช้ได้นานและใช้ซ้ำได้หลายครั้ง จากการทดลองสามารถผลิตเอทานอล บริสุทธิ์ได้เฉลี่ยร้อยละ ๙๙.๗ และมีหลายครั้งที่ผลิตได้ถึงร้อยละ 100
ทำให้เอทานอลบริสุทธิ์ที่ได้เหลือปริมาณน้ำอยู่น้อยมาก ประมาณร้อยละ 0.1 เท่านั้น จึงไม่มีอันตรายต่อเครื่องยนต์ แม้จะใช้เป็น E100 เหมือนประเทศบราซิลก็ตาม
วิธีการนี้สามารถประหยัดพลังงาน ได้ประมาณ 3-7 เท่า เมื่อเทียบกับวิธีการผลิตเอทานอลบริสุทธิ์ ที่ใช้ในปัจจุบัน ขณะนี้งานวิจัยยังอยู่ในระดับห้องปฏิบัติการ ที่ผ่านมา มีเจ้าของธุรกิจหลายรายที่สนใจจะนำชุดแผ่นเยื่อบางนี้ไปใช้จริง
ผลงานวิจัยนี้ยังต้องมีการปรับปรุงผลงานเพื่อใช้ในระดับงาน อุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีเตรียมแผ่นเยื่อบางและ สร้างปฏิกรณ์สำหรับแยกน้ำให้มีขนาดใหญ่ขึ้น รวมทั้งต้องสร้าง ปฏิกรณ์สำหรับสร้างแผ่นเยื่อบาง
สำหรับการต่อยอดงานวิจัยในอนาคต รศ.สุจิตรา กล่าวว่า มีแนวคิดที่จะนำแผ่นเยื่อบางดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ เช่น ใช้ในการแยกน้ำออกจากน้ำเสียซึ่งมีสารอินทรีย์อยู่จำนวนมาก เป็นต้น
นอกจากนี้จะทำการวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับบิวทานอล ซึ่งเป็น แอลกอฮอล์ที่ได้จากการหมักวัสดุทางเกษตรเช่นเดียวกับเอทานอล แต่มีจุดเดือดสูงกว่าและเป็นสารที่ไม่ชอบน้ำ
หากสามารถนำไปใช้ผสม กับน้ำมันเชื้อเพลิงแทนเอทานอลได้ ก็จะทำให้กระบวนการผลิต ง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพดีขึ้น ซึ่งในต่างประเทศกำลังมีการศึกษา วิจัยเกี่ยวบิวทานอลว่าวิธีการหมักแบบใดที่จะผลิตบิวทานอลได้มากที่สุด

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552


เด็กน้อยเหล่าที่เห็น..เกิดมาบนโลกใบนี้..ร่วมกันกับใครๆ..แต่เขาจะมีโอกาสอยู่ร่วมกับใครๆ..บนโลกใบนี้ในฐานะใด