วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เกณฑ์เลื่อนขั้นเงินเดือน(ใหม่)

ศธ.คลอดเกณฑ์เลื่อนขั้นเงินเดือน
การศึกษา-สาธารณสุข 24 พฤศจิกายน 2552 - 00:00

ศธ.คลอดเกณฑ์เลื่อนขั้นเงินเดือน หลังยกเลิกระบบซี วางกรอบคะแนนผลสัมฤทธิ์ของงาน 80% ที่เหลือเป็นสมรรถนะการปฏิบัติหน้าที่ 20% แต่รวมแล้วต้องไม่ต่ำกว่า 70% ถึงจะได้ปรับเงินเดือน แถมกำหนดขั้นบันไดเงินเดือนที่จะได้รับการเลื่อนขั้น ต่ำสุด 0.1-1.5% และสูงสุดไม่เกิน 4-6%

นายชินภัทร ภูมรัตน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่าที่เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยถึงผลการประชุมเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินผลการปฏิบัติราชการและการเลื่อนเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.ศธ.) เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ที่ประชุมได้มีการหารือเพื่อเตรียมการสำหรับการกำหนดหลักเกณฑ์การประเมินผลการปฏิบัติราชการ รวมถึงการเลื่อนขั้นเงินเดือนของข้าราชการพลเรือน เนื่องจากในปีงบประมาณ 2553 จะต้องเริ่มใช้การเลื่อนเงินเดือนในระบบใหม่ที่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากเดิมเป็นขั้นเงินเดือน ทั้งนี้ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ทำหนังสือเวียน ก.พ.ว20 ลงวันที่ 3 กันยายน 2552 มายัง สป.ศธ.

ปลัด ศธ.กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมกำหนดให้การประเมินผลการปฏิบัติราชการ มี 2 องค์ประกอบ คือ 1. ผลสัมฤทธิ์ของงาน ร้อยละ 80 และ 2.พฤติกรรมการปฏิบัติราชการ หรือสมรรถนะ ร้อยละ 20 จากที่ ก.พ.กำหนดว่าต้องให้ความสำคัญกับผลสัมฤทธิ์ของงานไม่ต่ำกว่า 70% ทั้งนี้ เนื่องจากปีนี้เป็นปีแรกที่เริ่มใช้ระบบนี้ ที่ประชุมจึงต้องการให้ความสำคัญกับผลสัมฤทธิ์ของงานมากกว่าสมรรถนะ เพราะการกำหนดสมรรถนะของแต่ละสายงานอาจจะยังไม่ชัดเจน แต่หลังมีความชัดเจนแล้ว ก็จะเพิ่มสัดส่วนสูงขึ้น

ปลัด ศธ.กล่าวต่อไปว่า สำหรับผลสัมฤทธิ์ของงาน 80% นั้น จะพิจารณาจาก 4 เรื่อง ได้แก่ 1.ปริมาณผลงาน 2.คุณภาพ 3.ความรวดเร็ว และ 4.ความประหยัดคุ้มค่า ส่วนตัวชี้วัดและค่าเป้าหมาย จะพิจารณาจากงานที่ได้รับมอบหมาย คือ งานตามคำรับรองประจำปี งานตามหน้าที่ความรับผิดชอบหลัก และงานที่ได้รับมอบหมายเป็นพิเศษซึ่งทั้ง 3 ส่วนนี้จะมากำหนดตัวชี้วัดประเมินผลสัมฤทธิ์ของงาน โดย ก.พ.กำหนดว่าตัวชี้วัด มีค่าน้ำหนักไม่น้อยกว่า 10% ของคะแนนรวม หรือมีไม่เกิน 10 ตัวชี้วัด เพื่อไม่เป็นภาระในการเก็บข้อมูล ส่วนการประเมินสมรรถนะ 20% นั้น จำแนกเป็น 2 ส่วน คือ 1.สมรรถนะหลัก จะประเมินกับข้าราชการพลเรือนทุกคน ใน 5 เรื่อง คือ การมุ่งผลสัมฤทธิ์ การบริการที่ดี การสั่งสมความเชี่ยวชาญ การยึดมั่นในความถูกต้อง การทำงานเป็นทีม และ 2.สมรรถนะทางการบริหาร จะวัดกลุ่มข้าราชการอำนวยการขึ้นไป ประกอบด้วย 6 ด้าน คือ สภาวะผู้นำ การวางกลยุทธ์ศักยภาพในการนำการปรับเปลี่ยน การควบคุมตนเอง การสอนงานและมอบหมายงาน

นายชินภัทรกล่าวต่อไปว่า ในการประเมินจะมีการกำหนดช่วงคะแนน ตลอดจนกำหนดจำนวนข้าราชการในแต่ละช่วงคะแนนด้วย เพราะต้องผูกโยงกับการเลื่อนเงินเดือน ซึ่งต่างจากระบบเลื่อนขั้นเงินเดือนในอดีต ที่ไม่มีการกำหนดจำนวนข้าราชการในแต่ละช่วงคะแนน ส่งผลทำให้แม้ผลคะแนนการประเมินออกมาสูง แต่ข้าราชการกลับไม่ได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือน เนื่องจากงบประมาณที่ได้รับมีจำกัด ทั้งนี้ จะมีการแบ่งกลุ่มคนที่ได้รับการประเมินออกเป็น 5 กลุ่ม ดังนี้ 1.กลุ่มปรับปรุง ต่ำกว่า 60 คะแนน กำหนดสัดส่วนข้าราชการที่อยู่ในกลุ่มนี้ 5% ซึ่งจะไม่ได้เลื่อนเงินเดือน, กลุ่มพอใช้ ระหว่าง 60-69 คะแนน สัดส่วน 10% เลื่อนเงินเดือน 0.1-1.5%, กลุ่มดี ระหว่าง 70-79 คะแนน สัดส่วน 70% เลื่อนเงินเดือน 1.6-3%, กลุ่มดีมาก ระหว่าง 80-89 คะแนน สัดส่วนไม่เกิน 10% เลื่อนเงินเดือน 3.1-4.5% และกลุ่มดีเด่น ระหว่าง 90-100 คะแนน สัดส่วนไม่เกิน 5% เลื่อนเงินเดือน 4.6-6% ทั้งนี้ การประเมินเพื่อเลื่อนเงินเดือนจะแบ่งเป็น 2 ช่วง โดยช่วงแรกจะเสร็จสิ้นวันที่ 31 มีนาคม 2553 และช่วงที่ 2 เสร็จสิ้นวันที่ 30 กันยายน.
-----------------------------
จากไทยโพสต์ออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น