วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

แผน "บริหารแผ่นดิน 4 ปี" รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" 
 วงเงินงบประมาณเบื้องต้น 15 ล้านล้านบาท เป็นแผนบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในช่วงปี 2555-2558 ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้

                         รัฐบาล จะมุ่งมั่นการพัฒนาประเทศให้รอดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก และพัฒนาไปสู่การเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งมุ่งมั่นจะสร้างความสามัคคี ปรองดอง ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองการปกครองของประเทศให้ก้าวหน้าเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนชาวไทย ทุกคน โดยยึดหลักการบริหารที่มีความยืดหยุ่นที่คำนึงถึงพลวัต การเปลี่ยนแปลงของปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ทั้งนี้ รัฐบาลจะดำเนินการให้บรรลุภารกิจดังกล่าว ภายใต้แนวทางพื้นฐานหลัก 3 ประการ คือ
                         1.เพื่อ นำประเทศไปสู่โครงสร้างเศรษฐกิจที่สมดุล มีความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน การพัฒนาคุณภาพและสุขภาพคนไทยในทุกช่วงวัย ถือเป็นปัจจัยชี้ขาดความสามารถในการอยู่รอดและแข่งขันได้ของเศรษฐกิจไทย
                         2.เพื่อ นำประเทศสู่สังคมที่มีความปรองดอง สมานฉันท์และอยู่บนพื้นฐานของหลักนิติธรรมที่เป็นมาตรฐานสากลเดียวกันและมี หลักปฏิบัติที่เท่าเทียมกันต่อประชาชนคนไทยทุกคน
                         3.เพื่อนำประเทศ ไทยไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ในปี 2558 อย่างสมบูรณ์ โดยสร้างความพร้อมและความเข้มแข็งทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม และการเมืองและความมั่นคง
                            @ กรอบการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล เพื่อ ให้การบริหารราชการแผ่นดินสามารถบรรลุถึงภารกิจตามนโยบายรัฐบาล จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์และวิธีการดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบาย โดยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะเร่งด่วนที่จะเริ่มในปีแรก ดำเนิน นโยบายในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ และการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการจากภาวะเงินเฟ้อและ ราคาน้ำมัน รวมทั้งการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยการเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ สร้างสมดุลและความเข้มแข็งให้แก่ระบบเศรษฐกิจ ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนโดยเฉพาะการให้สินเชื่อเพื่อประกอบ อาชีพ ให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อย และกลุ่มเกษตรกร รวมทั้งการยกระดับราคาสินค้าเกษตร การเพิ่มรายได้ให้แก่แรงงาน และผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี การให้เบี้ยยังชีพรายเดินแบบขั้นบันได แก่ผู้สูงอายุ นอกจากนั้น จะดำเนินการเร่งการเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งภายในประเทศ และนอกประเทศ เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินงานระยะเร่งด่วน ในปีแรก จะครอบคลุมการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนที่ประเทศไทย และคนไทยเผชิญอยู่ใน 3 เรื่องสำคัญได้แก่
                          1.การ สร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ การสร้างความมั่นคงให้เกิดขึ้นในสังคม และการพัฒนาการเมืองของประเทศ เพื่อให้คนไทยหันกลับมาอยู่ร่วมกันอย่างพี่น้อง มีความสามัคคี สังคมไทยมีความสงบสุข และปลอดจากปัญหายาเสพติด ปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบ และความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง โดยเร่งดำเนินการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ การแก้ไขปัญหายาเสพติดตามพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ การป้องกันและปราบปรามคอร์รัปชั่นในภาครัฐ การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง
                            2.การ แก้ไขปัญหาค่าครองชีพของประชาชน และการสร้างโอกาสในการสร้างรายได้ และการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของเยาวชนและประชาชน โดยเพิ่มรายได้ให้ประชาชนกลุ่มต่างๆ ควบคู่ไปกับการลดรายจ่ายของประชาชน ทั้งในด้านราคาสินค้าและราคาพลังงาน สร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อการสร้างอาชีพ รวมทั้งการสร้างหลักประกันในด้านสุขภาพ และการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อพัฒนาการศึกษาเยาวชนไทย 
                           3.การสร้างความมั่นคงของฐานทรัพยากร เพื่อการเกษตร และการสร้างรายได้ของประเทศ และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับต่างประเทศ เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยสร้างความมั่นคงของภาคการผลิตทางการเกษตร ด้วยการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการและการขยายเขตพื้นที่ชลประทาน การสร้างรายได้เข้าประเทศผ่านการท่องเที่ยว และการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจของประเทศด้วยการฟื้นฟูสัมพันธ์อันดี และความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศต่างๆ รวมทั้งลดภาษีเงินได้นิติบุคคลและการขยายฐานภาษีเพื่อเพิ่มความสามารถในการ แข่งขัน และรองรับการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558 
                        @ การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ มี การกำหนดเป้าประสงค์เชิงนโยบายไว้ 5 เรื่อง คือ เรื่องที่หนึ่ง สังคมไทยมีความสมานฉันท์ประชาชนในชาติ มีความรักสมัครสมานสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เรื่องที่สอง ประชาชนมีความเชื่อมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง เป็นประมุข เรื่องที่สาม สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ทางการเมือง เรื่องที่สี่ บุคคลทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากความเห็นที่แตกต่าง และความรุนแรงที่ก่อตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายของการใช้รัฐธรรมนูญแห่งราช อาณาจักรไทย 2540 ได้รับการเยียวยาและฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง เรื่องที่ห้า คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ดำเนินการอย่างเป็นอิสระและได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายอย่างเต็มที่ นโยบายที่จะดำเนินการในระยะ 4 ปี รัฐบาลได้กำหนดนโยบายพื้นที่ที่จะดำเนินการในระยะ 4 ปีของรัฐบาล โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปีแรกเป็นต้นไป ดังนี้
                            1. ด้านความมั่นคงแห่งรัฐ เทิดทูนและพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ พัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของกองทัพและระบบป้องกันประเทศ และเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ รวมทั้งการพัฒนาการเตรียมความพร้อมแห่งชาติ เพื่อให้มีความพร้อมรับมือกับปัญหาความมั่นคงในรูปแบบใหม่ในทุกด้าน 
                           2. ด้านสร้างรายได้ ส่งเสริมการท่องเที่ยวทั้งจากภายนอกและภายในประเทศ ขยายบทบาทให้ธุรกิจการเกษตรและอาหารซึ่งเป็นแหล่งรายได้และการจ้างงาน เพื่อนำไปสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้าอาหารคุณภาพสูง และยกระดับความสามารถในการแข่งขันโดยการขยายช่องการตลาด รวมทั้งดึงดูดนักลงทุนเข้ามาลงทุนในการผลิตสินค้าและบริการที่มีเทคโนโลยี สูงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
                          3. ด้านเศรษฐกิจ ให้ความสำคัญในการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ มีการจ้างงานที่เต็มที่ รวมทั้งมีความระมัดระวังความเสี่ยงจากความผันผวนของการเคลื่อนย้ายเงินทุน ระหว่างประเทศ และมีการส่งเสริมการสร้างรายได้ภายในประเทศ โดยการเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในภาคเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ และสร้างความเข้มแข็งให้กับสภาพแวดล้อมในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ขยายความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน และการตลาด ภายใต้กรอบความร่วมมือและข้อตกลงการค้าเสรี นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญต่อการปรับโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาระบบรางเพื่อขนส่งมวลชนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลดต้นทุนการขนส่งเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างโอกาสในกระจายรายได้ และการกระจายการลงทุนไปสู่ชนบท เป็นต้น 
                         4. ด้านสังคมและคุณภาพชีวิต เร่งพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการสร้างโอกาสทางการศึกษาพร้อมทั้งปฏิรูประบบการ ผลิตครูให้มีคุณภาพทัดเทียมกับนานาชาติ สร้างแรงจูงใจให้คนเรียนดี และมีคุณธรรมเข้าสู่วิชาชีพ เร่งพัฒนาเครือข่ายสารสนเทศเพื่อการศึกษา และพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อให้การกระจายครูเพื่อขจัดปัญหาการขาดแคลนครูใน สาขาวิชาหลัก เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษา ด้านการคุ้มครองแรงงานรัฐบาล ให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยในการทำงานและสวัสดิการแรงงาน และหลักประกันความมั่นคงในการทำงาน รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิ ประโยชน์ในการประกันสังคมให้มากขึ้น และขยายความคุ้มครองถึงแรงงานนอกระบบ ที่รัฐจะต้องดูแลภายใต้ระบบคุ้มครองแรงงาน การจัดสวัสดิการ และบริการทางสังคม แก่ผู้ด้อยโอกาส และคนยากจนให้ทั่วถึง รวมทั้งยังเร่งยกระดับฝีมือแรงงานเพื่อนำไปสู่เป้าหมายให้ประเทศไทย เป็นประเทศที่ใช้แรงงานมีฝีมือ ทั้งระบบและเตรียมการรองรับการเคลื่อนย้ายแรงงานภายใต้ประชาคมอาเซียนในปี 2558 นอกจากนี้ รัฐบาลได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพให้บริการสุขภาพทั้งระบบโดยการเร่ง ผลิตบุคลากรด้านการแพทย์และสาธารณสุขให้เพียงพอ การจัดให้มีมาตรการสร้างสุขภาพโดยมีเป้าหมายในการลดอัตราการป่วยตาย และผลกระทบจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง รวมทั้งการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นเลิศในด้านผลิตภัณฑ์และการบริการด้าน สุขภาพและการรักษาพยาบาล ในภูมิภาคเอเชีย
                          5. ด้านที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม การรักษาสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทุนทรัพยากรธรรมชาติ และสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี การสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในการใช้ทรัพยากร การพัฒนาคุณค่าความหลากหลายทางชีวภาพ และการส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ นอกจากนั้นยังมีการสร้างภูมิคุ้มกันและเตรียมความพร้อมในการรองรับต่อผล กระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติธรรมชาติ
                         6. ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรม เร่งพัฒนาประเทศให้เป็นสังคมบนฐานความรู้ โดยการส่งเสริมการลงทุนในการวิจัยพัฒนาร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี และการใช้ข้อมูลภูมิสารสนเทศ เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การวางแผนการผลิตด้านการเกษตร ยกระดับคุณภาพชีวิต และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ร่วมทั้งเร่งสร้างนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยให้เพียงพอต่อความต้องการของประเทศ 
                       7. ด้านต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ส่งเสริมพัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน และการใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน รวมทั้งเตรียมความพร้อมของทุกภาคส่วนในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนปี 2558
                       8. ด้านการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พัฒนาระบบราชการเน้นการบริหารงานเชิงกลยุทธ์เสริมสร้างประสิทธิภาพของระบบ บริหารงานแบบบูรณาการ รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีระบบที่มี ประสิทธิภาพ โปร่งใส และปรับปรุงระบบการช่วยเหลือประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ทั้งการช่วยเหลือด้านกฎหมาย ส่งเสริมกองทุนยุติธรรมเพื่อคุ้มครองช่วยเหลือคนจนและคนด้อยโอกาสรวมทั้งส่ง เสริมให้ประชาชนมีโอกาสรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้อย่างกว้างขวาง รวดเร็ว ถูกต้องเป็นธรรม
                       วงเงินงบประมาณสนับสนุนตามนโยบาย เบื้องต้น 15.178 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ ประมาณการการลงทุน วงเงินงบประมาณสนับสนุนตามนโยบาย เป็นการประมาณการความต้องการใช้เงินเบื้องต้น ซึ่งเป็นข้อเสนอตามความต้องการของส่วนราชการเพื่อดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล 4 ปี เท่ากับ 11.299 ล้านล้านบาท และค่าใช้จ่ายดำเนินการภาครัฐ 4 ปี รวม 3.878 ล้านล้านบาท รวมเป็นประมาณการความต้องการใช้เงินเบื้องต้นทั้งสิ้น 15.178 ล้านล้านบาท และประมาณการรายได้สุทธิของรัฐบาลเท่ากับ 8.901 ล้านล้านบาท โดยมีแหล่งเงินในการดำเนินโครงการตามนโยบาย ประกอบด้วย เงินในงบประมาณ 10.440 ล้านล้านบาท และเงินนอกงบประมาณ 0.859 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ประมาณการความความต้องการใช้เงินที่ปรากฏในแผนการบริหารราชการแผ่น ดิน ดังกล่าว จะใช้เป็นกรอบแนวทางการจัดทำแผนปฏิบัติราชการสี่ปีและแผนปฏิบัติราชการ ประจำปีของส่วนราชการ เพื่อประกอบการจัดทำคำของบประมาณประจำปีต่อไป โดยแผนงาน/โครงการที่ระบุไว้ในแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2555-2558 ส่วนราชการเจ้าของแผนงาน/โครงการจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของ ระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย อย่างไรก็ตาม ประมาณการความต้องการใช้เงินในช่วงปี 2555-2558 ดังกล่าวอาจมีข้อจำกัดด้านงบประมาณและขีดความสามารถในการก่อนหนี้ของภาครัฐ ภายใต้กรอบการรักษาวินัยการคลัง จึงจำเป็นที่จะต้องพิจารณารายละเอียดความเหมาะสมทางเศรษฐกิจของโครงการลงทุน ต่าง ๆ รวมทั้ง พิจารณาทางเลือกของแหล่งเงินและรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสม เพื่อลดภาระงบประมาณและรักษาวินัยการคลัง
 (มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 7 กันยายน 2554 หน้า2) ที่มา - มติชนออนไลน์
1.ทิศทางของ สพฐ.ปี 2555 นโยบายของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการว ซึ่ง สพฐ. ได้กำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ แผนงาน ผลผลิต โครงการ ร่างงบประมาณ และปฏิทินงบประมาณ ดังนี้ วิสัยทัศน์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นองค์กรขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษา ขั้นพื้นฐานของประเทศไทยให้สูงเทียบเท่าค่าเฉลี่ยของโลกภายในปี 2563 พันธกิจ พัฒนา ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาให้ประชากรวัยเรียนทุกคนได้รับการศึกษาอย่างมีคุณภาพ โดยเน้นการพัฒนาผู้เรียนเป็นสำคัญเพื่อให้ผู้เรียน มีความรู้ มีคุณธรรมจริยธรรม และมีความสามารถตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน และพัฒนาสู่คุณภาพระดับสากล แผนงาน/ผลผลิต/โครงการ ปี 2555 สพฐ.มี 4 แผนงาน 6 ผลผลิต 8 โครงการ ดังนี้แผนงานแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โครงการที่ 1 : โครงการพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ - แผนงานสนับสนุนเครื่องคอมพิวเตอร์พกพาเพื่อการศึกษา โครงการที่ 1 : โครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา โครงการที่ 1 : โครงการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน - แผนงานขยายโอกาสและพัฒนาการศึกษา ผลผลิตที่ 1 : ผู้จบการศึกษาก่อนประถมศึกษา ผลผลิตที่ 2 : ผู้จบการศึกษาภาคบังคับ ผลผลิตที่ 3 : ผู้จบการศึกษามัธยมศึกษาตอนปลาย ผลผลิตที่ 4 : เด็กพิการได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานและการพัฒนาสมรรถภาพ ผลผลิตที่ 5 : เด็กด้อยโอกาสได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผลผลิตที่ 6 : เด็กผู้มีความสามารถพิเศษได้รับการพัฒนาศักยภาพ โครงการที่ 7 : โครงการคืนครูให้นักเรียน โครงการที่ 8 : โครงการพัฒนาครูทั้งระบบเต็มตามศักยภาพ โครงการที่ 9 : โครงการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา โครงการที่ 10 : โครงการมัธยมศึกษาเชิงปฏิบัติการ โครงการที่ 11 : โครงการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมโลก งบประมาณ งบประมาณ ปี 2555 ที่ สพฐ.เสนอขอไป คือ 269,827,769,700 บาท เป็นงบบุคลากร 198,972 ล้าน งบดำเนินงาน 17,347 ล้าน งบลงทุน 9,129 ล้าน งบอุดหนุน 43,846 ล้าน งบรายจ่ายอื่น 532 ล้าน กระบวนกรอนุมัติงบประมาณจะเสร็จสิ้นปลายเดือนมกราคมตามปฏิทินงบประมาณ ดังนี้ 2-3 พ.ย. 2554 สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปี วาระที่ 1 (เลื่อนเป็น 9-10 พ.ย.แล้วครับ) 4 พ.ย.-19 ธ.ค.2554 คณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 20 ธันวาคม 2554 สมาชิกสภาผุ้แทนราษฎรชี้แจงคำแปรญัตติต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญ 4-5 ม.ค.2555 สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี วาระที่ 2-3 23 ม.ค.2555 วุฒิสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 27 ม.ค.2555 สำนักเลขาธิการรัฐมนตรี นำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ขึ้นทูลเกล้าฯถวายเพื่อประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป 2.วิทยฐานะ ขณะนี้หลายเขตพื้นที่คงเบิกเงินวิทยฐานะและค่าตอบแทนรายเดือนให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีคำสั่ง ตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2552 - 30 กันยายน 2553 ตามหนังสือของ สพร.ที่ ศธ 04009/ว 4771 ลว 12 ตุลาคม 2554 เรียบร้อยไปแล้ว จำนวนทั้งสิ้น 34,886 คน งบประมาณ 9,675 ล้าน แปลกใจกับหลายเขตที่บอกว่ายังไม่เห็นรู้เรื่องเลย หลายคนบอกว่าไม่เชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องสร้างกระแสของ สพฐ. บางคนหนักถึงขนาดว่าเป็นการเคาะกะลาให้หมาดีใจ อยู่ๆก็เอาตัวเองไปเปรียบกับหมา ทั้งๆที่เรื่องนี้เป็นเรื่องของคน หมาไม่เกี่ยว ผมก็ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร ก็เลยแนะนำให้ไปถามคนที่เขากดเงินได้แล้วก็แล้วกันว่าจริงหรือหรอก สำหรับผู้ที่ได้รับคำสั่ง ตุลาคม 2553 – ปัจจุบัน ขณะนี้ผมได้ข้อมูลจาก สพร.มาถึงกรกฎาคม 2554 รวม 39,405 คน งบประมาณ 8,349 ล้านบาท หลายท่านถามว่าทำไมผ่านแล้วจึงไม่จ่ายเลย จะได้ไม่ติดค้าง ผมก็อยากจะทำอย่างที่ท่านว่าครับ แต่ทำไม่ได้ เพราะเราไม่ได้มีงบประมาณจำนวนมากแบบจ่ายไม่อั้นในคลังของเรา เราต้องของบประมาณเป็นปีๆ ไป เราจะใช้จำนวนผู้ผ่านการประเมินของบประมาณ สำนักงบประมาณไม่ยอมให้เรานำจำนวนผู้ขอประเมินวิทยฐานะของบประมาณ เพราะไม่ทราบจำนวนที่จะผ่าน/ไม่ผ่านที่แท้จริง ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเหตุการณ์ส่งผลงานก่อนรับเงินที่หลัง เพราะคนส่งก่อนกรรมการอ่าน/ขออนุมัติ อ.ก.ค.ศ.เขตช้ากว่าคนที่ส่งที่หลัง ดังนั้น สนผ.ได้รับข้อมูลผู้ผ่านการประเมินจาก สพร.มาเท่าใด ก็ของบประมาณให้เท่านั้นครับ เช่นปีนี้ เราตั้งงบประมาณ ปี 2555 เมื่อตอนปลายปี 2553 สนผ.ได้ข้อมูลว่ามีผู้ผ่านวิทยฐานะถึง กรกฎาคม 2553 บังเอิญปีนี้งบประมาณล่าช้า จึงขอต่อรองเพิ่มได้อีก 2 เดือน ถึง 30 กันยายน 2553 แผนที่คิดไว้ก็คือ จะทำเรื่องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีของส่วนที่เหลือทั้งหมด ถ้าได้ก็คงเป็นต้นๆ ปี 2555 แผนสองเป็นแผนปกติ นั่นคือ สพฐ.กำลังตั้งงบประมาณ ปี 2556 ก็จะตั้งให้ทั้งหมด รับตกเบิกเดือนตุลาคม 2555 ครับ 3.อัตราจ้าง ปี 2555 สพฐ.ได้ตั้งงบประมาณในจ้างบุคลากร จำนวน 65,172 คน ซึ่งสามารถดูรายละเอียดว่าจ้างตำแหน่งใด เงินเดือนเท่าไรได้ในหนังสือที่ ศธ 04006/ว2098 ลว 30 กันยายน 2554 หน้าเว็ปไซด์ของ สนผ.ได้ครับ หลายท่านบอกว่าทำไมไม่ตั้งเป็นตำแหน่งถาวร มาจ้างกันอยู่ได้ทุกปี ใกล้ 30 กันยายน ก็วุ่นวายกันทั้งประเทศ เราก็ต้องการทำอย่างที่ท่านร้องขออยู่เหมือนกัน แต่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.)ไม่ยอมครับ นอกจากนั้นยังบอกว่าบุคลากรของ สพฐ.มีมากเกินเสียด้วยซ้ำไป เรื่องก็เป็นแบบนี้แหละครับ อย่างไรก็ตาม สพฐ.ก็ไม่ละความพยายามนะครับ พยายามจะขอตำแหน่งธุรการให้เป็นอัตราถาวร เหมือนการเงินและพัสดุประจำโรงเรียน คอยติดตามกันต่อไปครับ เรื่องอัตราจ้างนี้หลายเขตปฏิบัติไม่เหมือนกัน น้องๆบ่นกันเข้ามามาก เช่น เงินตกเบิกยังไม่ได้รับ ยังไม่ต่อสัญญาจ้าง ใช้งานผิดหน้าที่ รับเงินไม่ตรงสิ้นเดือน เป็นต้น ผมเชื่อว่าเป็นจริง ขอเรียนให้ทราบว่าแจ้งจัดสรรทุกเรื่องแล้วครับ ยกเว้นพี่เลี้ยงเด็กพิการของโรงเรียน ซึ่งขณะนี้สำนักบริงานการศึกษาพิเศษกำลังแจ้งจัดสรรอยู่ ที่ช้าเพราะรอข้อมูลว่ามีเด็กพิเศษในปีนี้มากน้อยเพียงไร เมื่อไม่ได้ข้อมูลก็เลยยังจัดสรรไม่ได้ ผมเลยหารือกับ ผอ.พะโยมว่าแจ้งไปแบบมีเงื่อนไขก็ได้ คือ ถ้ามีเด็กพิเศษมากก็จ้างมาก ถ้ามีน้อยก็จ้างน้อย กำลังจัดสรรแล้วครับ น้องบางคนกลัวว่าจะทำงานฟรี เพราะทำต่อเนื่องมาตั้งแต่ 1 ตุลาคม แล้ว ของฟรีไม่มีในโลกครับ สัญญาที่จะเซ็นกัน มีผลย้อนหลังได้ ทุกตำแหน่งนะครับไม่ใช่น้องธุรการอย่างเดียว ส่วนเงินตกเบิกเงินเดือนที่เพิ่มขึ้น รับเงินไม่ตรงสิ้นเดือน สามารถดำเนินการได้ครับ ใครไม่ได้บอกมา เพราะ สพฐ.จัดสรรงบประมาณให้เขตและโรงเรียนมัธยมศึกษาที่เบิกจ่ายตรงหมดแล้ว 4.หนังสือมีคุณค่าที่น่าอ่าน ช่วง ที่ผมเก็บสมบัติหนีน้ำท่วม (สมบัติผมมีแต่หนังสือครับ) ก็เจอหนังสืออยู่ 2 เล่มที่เก็บไว้นานแล้ว เลยอ่านอีกรอบหนึ่งแบบรวดเดียวจบ เล่มแรกคือ ใครเอาเนยแข็งของฉันไป (Who moved my cheese?) ซึ่งเขียนโดยนายแพทย์ Spencer Johnson เล่มที่สอง คือ อยู่อย่างสง่า เป็นหนังสือดีเด่น แนวจิตวิทยา ที่ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์ วิทยา นาควัชระ เขียนไว้ ใครเอาเนยแข็งของฉันไป (Who moved my cheese?) เรื่องนี้เป็นการสื่อให้ผู้อ่านรับรู้ว่า โลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หากใครไม่ยอมปรับตัวอันเนื่องมาจากเหตุผลต่างๆ ก็จะเอาตัวไม่รอด โดยสมมติตัวละคร 4 ตัว มีหนูสองตัว และมนุษย์จิ๋วสองคนตัวเท่าหนู ทุกๆ วันหนูและมนุษย์จิ๋วต้องออกหาอาหารอันโอชะคือเนยแข็ง วันไหนหาเนยแข็งได้ก็จะมีความสุข เพราะได้ลิ้มรสอาหารที่ตนชอบ วันไหนหาเนยแข็งได้น้อย หรือหาไม่ได้ ก็จะเศร้า หงุดหงิด ขุ่นเคืองใจ ไม่มีความสุข วันหนึ่งทั้งหนูและมนุษย์ได้เจอเนยแข็งกองใหญ่ ทั้งหมดมีความสุขมากและคิดว่า เนยแข็งขนาดนี้กินเท่าไรก็ไม่หมด ทุกๆ วันทั้งมนุษย์จิ๋วและหนูก็จะกินเนยแข็งกันอย่างมีความสุข หนูทั้งสองเฝ้าสังเกตว่าเนยแข็งค่อยๆ ลดลงในแต่ละวัน และกลิ่นก็ไม่หอมหวนเหมือนอย่างวันแรกๆ ดังนั้นจึงมีความคิดจะไปหาเนยแข็งก่อนใหม่ ถ้าเนยแข็งนี้หมดลงหรือไม่มีความอร่อยแล้ว ส่วนมนุษย์จิ๋วไม่คิดอะไรมากไปกว่าความสุขที่ได้รับในแต่ละวัน และแล้วเหตุการณ์ตามการสังหรณ์ใจของหนูก็มาถึงจริงๆ เช้าวันหนึ่ง ทั้งหนูและมนุษย์จิ๋วมายังกองเนยแข็งเช่นเดิม แต่ทั้งหมดต้องตะลึงเมื่อไม่พบเนยแข็งที่เคยกินอยู่ทุกวันแม้แต่น้อย มนุษย์จิ๋วได้แต่ฟูมฟายว่า ใครเอาเนยแข็งของฉันไป ส่วนหนูเมื่อหายตกตะลึงแล้ว ก็รีบวิ่งไปหาเนยแข็งในแหล่งใหม่ทันที และมีความคิดว่าทำอย่างไรจึงจะมีเนยแข็งก้อนใหม่กิน และในที่สุดก็เจอเนยแข็งก้อนใหม่ จึงได้แทะกินกันด้วยความเอร็ดอร่อย ส่วนมนุษย์จิ๋วยังอยู่ที่เดิมด้วยมีความเชื่อว่า เดี๋ยวต้องมีเนยแข็งเหมือนเดิม เพราะตรงนี้เคยมีเนยแข็ง การจะออกไปแสวงหาเนยแข็งใหม่นั้น กลัวว่าจะไม่เจอ อาจมีอันตราย อย่างไรก็ตามมนุษย์จิ๋วหนึ่งในสองก็เริ่มคิดได้ หลังจากทนหิวอยู่หลายวันว่า จะอยู่อย่างเดิมต่อไปโดยไม่ยอมเสาะแสวงหาเนยแข็งใหม่ ก็คงอดตายแน่ จึงเริ่มออกหาเนยแข็งใหม่ โดยมีความคิดว่า เริ่มช้าดีกว่าไม่เริ่มเลย ตัวละครทั้งสี่ได้บันทึกคำคมไว้ในช่วงต่างๆ ดังนี้ - การมีเนยแข็งทำให้มีความสุข - ยิ่งเห็นเนยแข็งสำคัญเท่าไร ก็ยิ่งยึดติดมากขึ้นเท่านั้น - จงดมเนยแข็งอยู่เสมอจะได้รู้เมื่อมันเริ่มเก่า - ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงก็อยู่ไม่รอด - จะทำอะไรได้ทุกอย่างถ้าไม่กลัว - มุ่งไปในทิศทางใหม่ จะช่วยทำให้หาเนยแข็งใหม่ - ถ้าสลัดความกลัวไปได้จะเป็นอิสระ - จินตนาการว่าจะมีความสุขกับเนยแข็งใหม่ แม้ยังไม่พบก็จะช่วยนำทางเราได้ - ละทิ้งเนยแข็งเก่าเร็วเท่าไร ก็จะพบเนยแข็งใหม่เร็วเท่านั้น - เที่ยวเสาะหาเนยแข็งใหม่ในเขาวงกตยังดีกว่าทนรออย่างไร้เนยแข็ง - ความเชื่อเดิมๆไม่ช่วยให้พบกับเนยแข็งใหม่ - เปลี่ยนวิถีทาง เมื่อเห็นว่าสามารถหาและมีความสุขกับเนยแข็งใหม่ได้ - ตามหาเนยแข็งก้อนใหม่และมีความสุขกับมัน เป็นไงบ้างครับ สนุกไหม เรื่องนี้เป็นการเปรียบเปรย ซึ่ง เนยแข็ง ก็หมายถึงงาน เงินทอง ความสัมพันธ์ บ้าน สุขภาพ และอื่นๆ ที่เราปรารถนา ทุกคนต้องทราบว่าเนยแข็งของตัวเองคืออะไร พยายามเสาะแสวงหา เชื่อว่าถ้าได้มาแล้วจะมีความสุข ถ้าสูญเสียจะมีความทุกข์ทรมาน แต่ต้องไม่ลืมนะครับ ว่าทุกอย่างเกิดขึ้น มีอยู่และก็ดับไป อยู่อย่างสง่า เป็นหนังสือดีเด่น แนวจิตวิทยา ผมหยิบมาแค่ประเด็นเดียวคือ บุคลิกของผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต มีดังนี้ - นับถือตนเองว่ามีคุณค่าเสมอ แม้จะเป็นผู้แพ้ ผู้ชนะ ตกต่ำ ก้าวหน้า จน รวย สวยหรือ ขี้เหร่ โดยหาจุดดีของตนเอง และอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี - หวังผลที่เป็นนามธรรมมากกว่าที่เป็นรูปธรรม เช่นความภูมิใจ มากกว่าเงินทอง - เป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ ให้ความรู้สึกที่ดี คำพูดที่ให้กำลังใจ ความรู้ ข้อแนะนำ คำชื่นชม ยกย่อง ความนับถือ มิตรภาพ วัตถุ เงินทอง มองไกล ใฝ่ดี มีคุณธรรม เมื่อเกิดปัญหาต้องแก้ปัญหาด้วยปัญญา ด้วยความเมตตา ไม่เสียเวลากับคนไม่ดี เหตุการณ์ไม่ดี เพราะเสียเวลา เสียกำลังใจและเสียความรู้สึกหากใครต้องการความสำเร็จในชีวีวิต ลองฝึกปฏิบัติดูสิครับ 5.ช่องทางการประสานงาน จากการตอบกระทู้ที่ผ่านมาพบว่ามีผู้สนใจสอบถามเรื่องราวต่างๆมากมาย ผมพยายามประสานหาข้อมูลมาตอบให้ทั้งหมด ในช่วงนี้เป็นช่วงการออกเยี่ยมเยียนผู้ประสบอุทกภัย การเตรียมการชี้แจงงบประมาณ ปี 2555 การตั้งงบประมาณ ปี 2556 ดังนั้น อาจเข้ามาตอบกระทู้ช้า ไม่ทันใจผู้อ่าน จึงขอให้หมายเลขโทรศัพท์ของผู้อำนวยการสำนักของ สพฐ. เพื่อท่านจะได้ประสานงานโดยตรง ดังนี้ เรื่อง นโยบาย งบประมาณ ข้อมูลสารสนเทศ รับนักเรียน เรียนฟรี สิ่งก่อสร้าง ไฟฟ้า โรงเรียน ดีตำบล โรงเรียนขนาดเล็ก โครงการพระราชดำริ โครงการอาหารกลางวัน การเดินทางไปต่างประเทศ สำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน นายรังสรรค์ มณีเล็ก 0818387560 เรื่อง การเบิกจ่ายงบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้าง คุณลักษณะเฉพาะ สำนักการคลังและสินทรัพย์ นางพวงมณี ชัยเสรี 0817055306 เรื่อง วิทยฐานะ การบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้าย ครูธุรการ อัตราจ้าง สำนักพัฒนาระบบการบริหารงาน บุคคลและนิติการ นายกมล ศิริบรรณ 0818725572 เรื่อง คอมพิวเตอร์ สำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน นายอเนก รัตน์ปิยะภาภรณ์ 0818333264 เรื่อง หลักสูตร การเรียนการสอน การวัดผล สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา นางสาววีณา อัครธรรม 0813985823 เรื่อง การพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา สำนักพัฒนาครูและบุคลากรการศึกษาขั้นพื้นฐาน นายชวลิต โพธิ์นคร 0891087652 เรื่อง พี่เลี้ยงเด็กพิการ สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ นายพะโยม ชิณวงศ์ 0819019003 เรื่อง งานศิลปหัตถกรรม สำนักพัฒนากิจกรรมนักเรียน นายสนิท แย้มเกสร 0818470301 ส่งท้าย ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการทำงาน สนุกกับการลอยกระทง ถ้ามีทุกข์ก็ขอให้พ้นทุกข์ ด้วยการลดละเลิกกามตัณหา ภวตัณหาและวิภวตัณหา มองโลกในแง่ดี เชื่อมั่นและนับถือตนเอง เห็นใจและอโหสิกรรมเพื่อนมนุษย์และสัตว์ทั้งปวงที่ล่วงเกินเรา แหม......ส่งท้ายเหมือนจะลาไปบวช สวัสดีครับ แล้วพบกันใหม่
วิธีเตรียมสมองพร้อมรับงานหนัก บ่อยครั้งที่พอสมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก หรืออารมณ์ไม่ดี หลายคนมักจะเป็นประเภทรำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง คือ เฟ้นหาสาเหตุจากปัจจัยภายนอก ก่อนที่จะตั้งคำถามเช็กสมรรถภาพกับตัวเอง แล้วความจริงก็ชอบแสดงให้เห็นว่า หลายปัญหาคาใจ แท้จริงแล้วมีคำตอบอยู่ข้างหน้านั่นเอง ชนิดที่เรียกว่าเส้นผมบังภูเขาแท้ๆ เลย ดังนั้น ถ้าวันนี้ใครรู้สึกว่าสมองแล่นช้า ลองสลับหยุดนิ่ง ก่อนจะหันไประเบิดอารมณ์ใส่เพื่อน หรือหาทางออกจากอะไรๆ รอบตัว ลองมาเช็กและรีเฟรชระบบภายในร่างกายกันก่อน ด้วย 8 วิธีที่ทำได้ในออฟฟิศ - เพิ่มประสิทธิภาพในการประสานงานสมอง : เขียนเลข 8 ในอากาศ ด้วยมือทั้งสองข้าง ข้างละ 5 ครั้ง โดยเริ่มจากด้านซ้ายของเลขก่อน แล้วเขียนวนไปให้เป็นเลข 8 วิธีนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการอ่าน การทำความเข้าใจดีขึ้น และทำให้สมองด้านซ้ายและด้านขวาประสานงานกัน - หล่อเลี้ยงสมองด้วยน้ำเปล่า : วางขวดน้ำไว้ใกล้ๆ โต๊ะของคุณเป็นประจำ และคอยจิบทีละน้อย วิธีนี้จะช่วยให้จิตใจและร่างกายของคุณตื่นตัวตลอดเวลา สมองเปิดว่าง สามารถรับสารหรือข้อมูลได้ดี เพราะน้ำจะช่วยปรับสารเคมีที่สำคัญในสมองและระบบประสาท ถ้าเวลาที่รู้สึกเครียด จึงควรจิบน้ำเพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำเพื่อไปหล่อเลี้ยงระบบของร่างกาย - นวดใบหูกระตุ้นความเข้าใจ : นั่งพักสบายๆ แตะปลายนิ้วทั้งสองข้างที่ใบหู เคลื่อนนิ้วไปยังส่วนบนของหู จากนั้นบีบนวดและคลี่รอยพับของใบหูทั้งสองข้างออก ค่อยๆ เคลื่อนนิ้วลงมานวดบริเวณอื่นๆ ของใบหู ดึงเบาๆ เมื่อถึงติ่งหู ดึงลง ให้ทำซ้ำกัน 2 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นการได้ยิน และทำให้ความเข้าใจดีขึ้น เพราะเป็นการคลายเส้นประสาทบริเวณใบหูที่เชื่อมสมอง - บริหารกล้ามเนื้อหัวไหล่ : ใช้มือซ้ายจับไหล่ขวา บีบกล้ามเนื้อให้แน่นพร้อมหายใจเข้า จากนั้นหายใจออกและหันไปทางซ้ายจนสามารถมองไหล่ซ้ายของตัวเอง จากนั้นสูดลมหายใจลึกๆ วางแขนซ้ายลงบนไหล่ขวา พร้อมกับห่อไหล่ ค่อยๆ หันศีรษะกลับไปตรงกลางและเลยไปด้านขวา จนกระทั่งสามารถมองข้ามไหล่ของคุณได้ ยืดไหล่ทั้งสองข้างออก ก้มคางลงจรดหน้าอกพร้อมกับสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อของคุณได้ผ่อนคลาย เปลี่ยนมาใช้มือขวาจับไหล่ซ้าย บ้าง และทำซ้ำกันข้างละ 2 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อตรงส่วนลำคอและไหล่ การได้ยิน การฟัง และช่วย ลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อที่เกิดจากการนั่งโต๊ะทำงานเป็นเวลานานอีกด้วย - นวดจุดเชื่อมสมอง : วางมือข้างหนึ่งไว้บนสะดือ มืออีกข้างหนึ่งใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้วางบนกระดูกหน้าอกบริเวณ ใต้กระดูกไหปลาร้า และค่อยๆ นวดทั้งสองตำแหน่งประมาณ 10 นาที วิธีนี้จะช่วยลดความงงหรือสับสน กระตุ้นพลังงาน และช่วยให้มีความคิดแจ่มใส - บริหารขา : ยืนตรงให้เท้าชิดกัน ถอยเท้าซ้ายไปข้างหลัง โดยยกส้นเท้าขึ้น งอเข่าขวาเล็กน้อยแล้วโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย ก้นของคุณจะอยู่ในแนวเดียวกับส้นเท้าขวา สูดลมหายใจเข้าและผ่อนออก ในขณะที่ปล่อยลมหายใจออกนี้ ค่อยๆ กดส้นเท้าซ้ายให้วางลงบนพื้นพร้อมกับงอเข่าขวาเพิ่มขึ้น หลังเหยียดตรง สูดลมหายใจเข้าแล้วกลับไปตั้งต้นใหม่อีกครั้ง เปลี่ยนจากขาข้างซ้ายเป็นข้างขวา ทำแบบเดียวกันทั้งหมด 3 ครั้ง การบริหารท่านี้เหมาะสำหรับปรับปรุงสมาธิ รวมทั้งช่วยเพิ่มความเร็วในการอ่านหนังสือ และยังช่วยให้กล้ามเนื้อต้นขา และกล้ามเนื้อน่องผ่อนคลายอีกด้วย - กดจุดคลายเครียด : ใช้นิ้ว 2 นิ้ว กดลงบนหน้าผากทั้งสองด้าน ประมาณ กึ่งกลางระหว่างขนคิ้ว และตีนผม กดค้างไว้ประมาณ 3 - 10 นาที วิธีนี้จะช่วยคลายความตึงเครียดและเพิ่มการหมุนเวียนโลหิตเข้าสู่สมอง - บริหารสมองด้วยการเขียน : เขียนเส้นขยุกขยิกด้วยมือทั้งสองข้างพร้อมๆ กัน ลายเส้นที่เขียนอาจจะดูเพี้ยนๆ แต่ได้ผลดีต่อระบบสมองเป็นอย่างดีทีเดียว วิธีนี้จะช่วยให้เกิดการปรับปรุงการประสานงานของสมอง ด้วยการทำให้สมองทั้งสองซีกทำงานพร้อมกัน และเพิ่มความชำนาญด้านการสะกดคำ คำนวณดี และรวดเร็วขึ้น อีกด้วย เป็นไปได้จริงที่เส้นผมสามารถ บังภูเขาทั้งลูกได้ ถ้าสายตาไม่มีสติกำกับ ดังนั้นประตูบานแรกที่จะทอดนำไปสู่การหลุดพ้นแห่งความทุกข์ ปัญหา คือ สภาพจิตใจที่สมบูรณ์จากภายใน จำง่ายๆ ว่า เมื่อใดสติเกิด สมองก็บรรเจิด และแน่นอนว่าผลของงานก็จะดีขึ้นทันใด ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ http://www.thaihealth.or.th/node/8374