วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 22

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 22
เรื่อง ความรอบรู้(พลวัต)[ต่อ]

1. คำขวัญวันหัวใจโลก(วันที่ 27 กันยายน) ตรงกับข้อใด
ก. กินถูกหลัก รักเคลื่อนไหว ห่างไกลบุหรี่ มีหัวใจแข็งแรง
ข. กินถูกหลัก รักเคลื่อนไหว ห่างไกลยาเสพติด มีหัวใจแข็งแรง
ค. กินถูกหลัก รักเคลื่อนไหว ห่างไกลบุหรี่ มีใจแข็งแกร่ง
ง. กินถูกหลัก รักเคลื่อนไหว ห่างไกลบุหรี่ มีหัวใจแข็งแกร่ง
2. “คนที่มีเกียรติคือคนที่ไม่ขายตัว ไม่ต้องมีเงินเป็นแสนล้านหรือยศตำแหน่ง” เป็นคำกล่าวของ นพ.เกษม วัฒนชัย ที่กล่าวถึงกระบวนการพัฒนาตนเองทั้ง 8 ข้อ ตรงกับข้อใด
ก. เป็นสุขได้ด้วยตนเอง ข. รับผิดชอบต่อเกียรติยศตนเอง
ค. พอใจในการกระทำสิ่งที่ดีของตนเอง ง. บังคับตนเองให้อยู่ในร่องในรอย
3. SP2 ข้อใดกล่าวได้ถูกต้อง
ก. โครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2
ข. โครงการภายใต้ฟื้นฟูแผนเศรษฐกิจระยะที่ 2
ค. สำนักงานโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2
ง. สำนักงานโครงการภายใต้ฟื้นฟูแผนเศรษฐกิจระยะที่ 2
4. ข้อใดไม่ใช่คณะบุคคล คณะกรรมการบริหารโครงการอาหารกลางวันระดับโรงเรียน
ก. ผู้บริหารสถานศึกษา ข. ครูผู้รับผิดชอบโครงการฯ
ค. ผู้ทรงคุณวุฒิจากองค์กรส่วนท้องถิ่น ง. ผู้อำนวยการโรงเรียน
5. ข้อใดไม่ใช่คณะบุคคล คณะกรรมการบริหารโครงการอาหารกลางวันระดับเขตพื้นที่การศึกษา
ก. กรมปศุสัตว์ ข. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ค. หน่วยงานสถานีอนามัย ง. วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี
6. มูลนิธิใด เจ้าของ “โครงการทุนสร้างคน สร้างบัณฑิต”
ก. มูลนิธิชัยดำรงธรรม ข. มูลนิธิดำรงธรรมชัย
ค. มูลนิธิดำรงชัยธรรม ง. มูลนิธิชัยธรรมดำรง
7. กยศ.หมายถึงข้อใด
ก. คณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้เพื่อการศึกษา
ข. กองทุนเงินให้กู้เพื่อการศึกษา
ค. กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา
ง. กองทุนให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา
8. กรอ.ศธ.หมายถึงข้อใด
ก. กรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อการศึกษา
ข. คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อการศึกษา
ค. คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อการศึกษาและการปฏิรูปศึกษา
ง. กรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อการศึกษาและการปฏิรูปการศึกษา
9. เว็บไซด์ KM ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือข้อใด
ก. Moe Network ข. Obec Network
ค. Mangmoom ง. Spider
10. ข้อใดคือเบอร์โทรศัพท์ สายด่วนการศึกษา(Hot Line) ของกระทรวงศึกษาธิการ
ก. 1579 ข. 1669
ค. 1759 ง. 1996


หมายเหตุ
**ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นการรวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ กราบขออภัยหากการอ้างอิงแสดงไว้ไม่ทั่วถึง...ขอทุกท่านอธิษฐานจิตให้ผลกุศลคุณงามความดีต่างๆ บังเกิดผลแด่ท่านผู้เป็นเจ้าของต้นฉบับ..และ..การนำมาแผยแพร่นี้..เป็นการเอื้อเฝื่อเกิ้อกูลกันตามแบบอย่างธรรมเนียมไทย...ขอทุกท่านใช้ข้อมูลเหล่านี้..เพื่อประโยชน์ท่าน..ประโยชน์สังคมให้เต็มที่เถิด**

***ถ้าข้อมูลส่วนใดเก่า...ล้าสมัยก็อย่าไปใส่ใจนะครับ....มีความคิดเห็นใดๆ...โปรดแสดงความคิดเห็นของท่านกลับให้ทราบด้วย...ขอขอพระคุณ
***************************************ครูปู-ปุถุชน

วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 21

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 21
เรื่อง ความรอบรู้(พลวัต)

1. หน้าที่ของสถานศึกษาเมื่อได้รับเงินงบประมาณผ่านสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ข้อใดกล่าวผิด
ก. รับทราบวงเงินจัดสรร
ข. ตรวจสอบจำนวนเงินที่ได้รับโอน
ค. ออกใบเสร็จรับเงิน “ระบุว่าได้รับจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา.......”
ง. ออกใบเสร็จรับเงิน “ระบุว่าได้รับจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน”
2. แนวทางพื้นฐานหลัก 4 ประการของนโยบายรัฐบาล ข้อใดไม่ใช่
ก. ปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์
ข. สร้างความปองดองสมานฉันท์ในพื้นที่ภาคใต้
ค. ฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ขยายตัวอย่างยั่งยืน
ง. พัฒนาประชาธิปไตยและระบบการเมือง
3. นโยบายเรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ สอดคล้องกับนโยบายเร่งด่วนรัฐบาลในข้อใด
ก. การรักษาและเพิ่มรายได้ของประชาชน
ข. การสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นเศรษฐกิจ
ค. ลดภาระค่าครองชีพประชาชน
ง. ปรับโครงสร้างหนี้ภาคประชาชน
4. “คนไทยต้องไม่โกง” สอดคล้องกับนโยบายการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ข้อใด
ก. ประสิทธิภาพการบริหาราชการแผ่นดิน ข. กฎหมายและการยุติธรรม
ค. สื่อและการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ง. ปรับปรุงระบบการบริหารจัดการกองทุน
5. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล
ก. นโยบายรัฐบาลเป็นแนวทางดำเนินการในระยะ 4 ปี
ข. เป็นการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามบทบัญญัติในหมวด 5 ว่าด้วยแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ
ค. แผนบริหารราชการแผ่นดินเป็นคู่มือและแนวทางการทำงานของรัฐบาล
ง. กล่าวถูกทุกข้อ
6. แผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2552 - 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ เมื่อไร
ก. 25 มกราคม 2552 ข. 26 มกราคม 2552
ค. 13 มกราคม 2552 ง. 14 มกราคม 2552
7. แผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2552-2554 ประกาศเมื่อไร
ก. 25 มกราคม 2552 ข. 26 มกราคม 2552
ค. 13 มกราคม 2552 ง. 14 มกราคม 2552
8. ข้อใดคือความหมายของ G-20
ก. กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ
ข. กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ 20 แห่ง
ค. กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำและประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ 20 แห่ง
ง. กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ 20 แห่งและประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ
9. เหตุผลใดจึงต้องมีจัดการประชุม G-20
ก. เพื่อการปฏิรูประบบการเงินโลก มุ่งเน้นการแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจโลก
ข. เพื่อการปฏิรูปการเมืองการปกครอง มุ่งเน้นการแก้ไขวิกฤตความขัดแย้ง
ค. เพื่อการปฏิรูประบบการสร้างรายได้ให้กับประชาชนนานาประเทศ ลดปัญหาความยากจน
ง. ถูกทุกข้อ
10. Toilet Cleaning Day คือข้อใด
ก. สัปดาห์ที่ 2 ของวันเปิดเรียนภาคเรียนที่ 1
ข. สัปดาห์ที่ 2 ของวันเปิดเรียนภาคเรียนที่ 2
ค. สัปดาห์ที่ 2 ของวันปิดเรียนเทอม 2
ง. รณรงค์ทุกวัน


หมายเหตุ
**ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นการรวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ กราบขออภัยหากการอ้างอิงแสดงไว้ไม่ทั่วถึง...ขอทุกท่านอธิษฐานจิตให้ผลกุศลคุณงามความดีต่างๆ บังเกิดผลแด่ท่านผู้เป็นเจ้าของต้นฉบับ..และ..การนำมาแผยแพร่นี้..เป็นการเอื้อเฝื่อเกิ้อกูลกันตามแบบอย่างธรรมเนียมไทย...ขอทุกท่านใช้ข้อมูลเหล่านี้..เพื่อประโยชน์ท่าน..ประโยชน์สังคมให้เต็มที่เถิด**

***ถ้าข้อมูลส่วนใดเก่า...ล้าสมัยก็อย่าไปใส่ใจนะครับ....มีความคิดเห็นใดๆ...โปรดแสดงความคิดเห็นของท่านกลับให้ทราบด้วย...ขอขอพระคุณ
***************************************ครูปู-ปุถุชน

วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 20

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 20
เรื่อง ความรอบรู้(ต่อ)

1. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้กำหนดให้ปี 2552 เป็นปีแห่งการดูแลช่วยเหลือนักเรียนอย่างยั่งยืน ข้อใดกล่าวผิด
ก. ระยะที่ 1 เป็นการเตรียมการให้ความรู้
ข. ระยะที่ 2 เป็นระยะดำเนินงาน
ค. ระยะที่ 3 การผดุงระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน
ง. ระยะที่ 4 การพิจารณาคัดกรอง
2. บัญชีเอกสารหมายเลขใด คือบัญชีที่แสดงถึงการสำรองวงเงินเลื่อนขั้นเงินเดือน
ก. บัญชีหมายเลข 2 ข. บัญชีหมายเลข 3
ค. บัญชีหมายเลข 4 ง. บัญชีหมายเลข 5
3. การสอนแบบทวิภาษา เป็นนวัตกรรมเกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
ก. กรอบปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง
ข. การพัฒนาการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่
ค. การเสริมความพร้อมโรงเรียนบนดอย
ง. การพัฒนาระบบฐานข้อมูล
4. การเสริมความพร้อมโรงเรียนดีบนดอย ข้อใดกล่าวได้ถูกต้องที่สุด
ก. การดูแลสุขภาพอนามัย ข. โภชนาการของนักเรียน
ค. ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ง. ถูกต้องทุกข้อ
5. ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา ข้อใดถูกต้อง
ก. ผู้บริหารสถานศึกษา วิทยฐานะผู้บริหารสถานศึกษาชำนาญการพิเศษ เงินวิทยฐานะ 5,600 บาท
ข. ผู้บริหารสถานศึกษา วิทยฐานะผู้บริหารสถานศึกษาเชี่ยวชาญ เงินวิทยฐานะ 13,000 บาท
ค. ผู้บริหารสถานศึกษา วิทยฐานะผู้อำนวยการชำนาญการ เงินวิทยฐานะ 3,500 บาท
ง. ผู้บริหารสถานศึกษา วิทยฐานะผู้อำนวยการเชี่ยวชาญ เงินวิทยฐานะ 13,000 บาท
6. การเปลี่ยนตำแหน่ง การย้าย การโอนของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้เป็นไปตามที่ผู้ใดกำหนด
ก. ก.ค.ศ. ข. อ.ก.ค.ศ.
ค. อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ ง. ก.พ.
7. ระบบการประกันคุณภาพภายใน มี 8 องค์ประกอบ ข้อใดไม่ใช่
ก. การพัฒนามาตรฐานการศึกษา
ข. การจัดระบบบริหารและสารสนเทศ
ค. การจัดทำแผนการปฏิบัติการ
ง. การดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา
8. “สำนักงานพื้นที่การศึกษา ตรวจสอบคุณภาพภายในสถานศึกษา” ข้อใดกล่าวได้ถูกต้อง
ก. อย่างน้อย 1 ครั้งในทุก 5 ปี ข. อย่างน้อย 1 ครั้งในทุก 3 ปี
ค. อย่างน้อย 1 ครั้งในทุก 2 ปี ง. อย่างน้อย 1 ครั้งในทุก 1 ปี
9. รัฐธรรมนูญ 2550 มาตราใด กล่าวถึงเศรษฐกิจพอเพียง
ก. มาตรา 83 ข. มาตรา 237
ค. มาตรา 49 ง. มาตรา 190
10. ข้อใดต่อไปนี้กล่าวถึงมาตรฐานผู้บริหาร ไม่ถูกต้อง
ก. หลักและกระบวนการบริหารการศึกษา
ข. นโยบายและการวางแผนการศึกษา
ค. มาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา
ง. คุณธรรม จริยธรรมสำหรับผู้บริหาร

หมายเหตุ
**ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นการรวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ กราบขออภัยหากการอ้างอิงแสดงไว้ไม่ทั่วถึง...ขอทุกท่านอธิษฐานจิตให้ผลกุศลคุณงามความดีต่างๆ บังเกิดผลแด่ท่านผู้เป็นเจ้าของต้นฉบับ..และ..การนำมาแผยแพร่นี้..เป็นการเอื้อเฝื่อเกิ้อกูลกันตามแบบอย่างธรรมเนียมไทย...ขอทุกท่านใช้ข้อมูลเหล่านี้..เพื่อประโยชน์ท่าน..ประโยชน์สังคมให้เต็มที่เถิด**

***ถ้าข้อมูลส่วนใดเก่า...ล้าสมัยก็อย่าไปใส่ใจนะครับ....มีความคิดเห็นใดๆ...โปรดแสดงความคิดเห็นของท่านกลับให้ทราบด้วย...ขอขอพระคุณ
***************************************ครูปู-ปุถุชน

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 19

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 19
เรื่อง ความรอบรู้(ต่อ)

1. ข้อใดไม่ใช้โครงสร้างหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551
ก. สาระการเรียนรู้ ข. กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
ค. เกณฑ์การจบหลักสูตรหรือผ่านช่วงชั้น ง. คำอธิบายรายวิชา
2. หัวใจสำคัญของระบบการศึกษาที่มีมาตรฐานกำกับ คือข้อใด
ก. มาตรฐานการเรียนรู้ ข. ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
ค. สมรรถนะของผู้เรียน ง. คุณลักษณะค่านิยมที่พึ่งประสงค์
3. คำกล่าวที่ว่า”ควรสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโรงเรียนมีภาระกิจหลักที่จะพัฒนานักเรียนไปสู่มาตรฐานการเรียนรู้..” เกี่ยวข้องกับอะไรมากที่สุด
ก. สาระสำคัญ ข. จุดหมาย
ค. โครสร้างหลักสูตร ง. วิสัยทัศน์
4. ข้อใดสะท้อนให้เห็นคุณภาพผู้เรียนได้ชัดเจนที่สุด
ก. ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง กระบวนการจัดการเรียนรู้และคุณลักษณะอันพึ่งประสงค์
ข. มาตรการเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้และคุณลักษณะอันพึงประสงค์
ค. สาระการเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้และคุณลักษณะที่เกิด
ง. สาระการเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้และคุณลักษณะอันพึงประสงค์และสมรรถนะ
5. ตัวชี้วัดชั้นปี สอดคล้องกับข้อใดมากที่สุด
ก. ประถมศึกษาปีที่ 1-ประถมศึกษาปีที่ 6 ข. การศึกษาภาคบังคับ
ค. การศึกษาขั้นพื้นฐาน ง. ถูกทุกข้อ
6. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับห้องเรียนคุณภาพ
ก. มุ่งนำการเปลี่ยนแปลงสู่ห้องเรียน ข. ใช้ ICT เพื่อการสอน
ค. สร้างวินัยเชิงบวก ง. เกี่ยวข้องทุกข้อ
7. ข้อใดคือการประเมินความก้าวหน้าโดยใช้วิธีการที่หลากหลาย
ก. การประเมินระดับสถานศึกษา ข. การประเมินระดับห้องเรียน
ค. การประเมินระดับชั้นเรียน ง. การประเมินระดับช่วงชั้น
8. ข้อใด ไม่ใช่ การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในระดับครูผู้สอน
ก. ครูมีวิทยฐานะสูงขึ้น ข. หลักสูตรรายวิชามีประสิทธิภาพ
ค. แผนการจัดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพ ง. จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ
9. Effective Assessment คือข้อใด
ก. วัดและประเมินผลที่มีประสิทธิภาพ ข. หลักสูตรรายวิชามีประสิทธิภาพ
ค. แผนการจัดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพ ง. จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ประสิทธิภาพ
10. การออกเยี่ยมนิเทศงาน คือแนวทางใดของห้องเรียนคุณภาพ
ก. เทคนิคหลากหลายในการติดตามงาน ข. ประเมินผลการดำเนินงาน
ค. พัฒนาระบบการสื่อสาร ง. ทำแผนงานหรือกิจกรรมการพัฒนา


หมายเหตุ
**ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นการรวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ กราบขออภัยหากการอ้างอิงแสดงไว้ไม่ทั่วถึง...ขอทุกท่านอธิษฐานจิตให้ผลกุศลคุณงามความดีต่างๆ บังเกิดผลแด่ท่านผู้เป็นเจ้าของต้นฉบับ..และ..การนำมาแผยแพร่นี้..เป็นการเอื้อเฝื่อเกิ้อกูลกันตามแบบอย่างธรรมเนียมไทย...ขอทุกท่านใช้ข้อมูลเหล่านี้..เพื่อประโยชน์ท่าน..ประโยชน์สังคมให้เต็มที่เถิด**

***ถ้าข้อมูลส่วนใดเก่า...ล้าสมัยก็อย่าไปใส่ใจนะครับ....มีความคิดเห็นใดๆ...โปรดแสดงความคิดเห็นของท่านกลับให้ทราบด้วย...ขอขอพระคุณ
***************************************ครูปู-ปุถุชน

วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 18

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 18
เรื่อง ความรอบรู้(ต่อ)

1. ข้อใดคือกลยุทธ์ สพฐ.2552 ข้อที่ 5
ก. ปลูกฝังคุณธรรม ความสำนึกในความเป็นชาติไทย และวิถีชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้แก่นักเรียนทุกฃน
ข. เพิ่มอัตราการเข้าเรียนในทุกระดับ ทั้งเด็กทั่วไป ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส ลดอัตราการออกกลางคัน และพัฒนารูปแบบการให้บริการการศึกษาขั้นพื้นฐานแก่เยาวชนที่อยู่นอกระบบสถานศึกษา
ค. เร่งรัดพัฒนาความพร้อมในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารให้แก่สถานศึกษาและหน่วยงานการศึกษาในสังกัดเพื่อการเรียนรู้และการบริหารจัดการ
ง. สร้างความเข้มแข็งและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการบริหารและการจัดการศึกษาเพื่อรองรับการกระจายอำนาจอย่างมีประสิทธิภาพบนหลักธรรมาภิบาลในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษา
2. “ลดจำนวนเยาวชนมีพฤติกรรมเสี่ยง” คือเป้าหมายของกลยุทธ์ใด
ก. ปลูกฝังคุณธรรม ความสำนึกในความเป็นชาติไทย และวิถีชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้แก่นักเรียนทุกฃน
ข. เพิ่มอัตราการเข้าเรียนในทุกระดับ ทั้งเด็กทั่วไป ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส ลดอัตราการออกกลางคัน และพัฒนารูปแบบการให้บริการการศึกษาขั้นพื้นฐานแก่เยาวชนที่อยู่นอกระบบสถานศึกษา
ค. เร่งรัดพัฒนาความพร้อมในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารให้แก่สถานศึกษาและหน่วยงานการศึกษาในสังกัดเพื่อการเรียนรู้และการบริหารจัดการ
ง. สร้างความเข้มแข็งและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการบริหาร ศึกษาเพื่อรองรับการกระจายอำนาจอย่างมีประสิทธิภาพบนหลักธรรมาภิบาลในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษา
3. กลยุทธ์ สพฐ.2552 มีกี่ข้อ
ก. 5 ข้อ ข. 6 ข้อ
ค. 7 ข้อ ง. 8 ข้อ
4. “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อใด
ก. 1 ตุลาคม 2549 - 30 กันยายน 2554 ข. 1 ตุลาคม 2550 - 30 กันยายน 2555
ค. 1 ตุลาคม 2551 - 30 กันยายน 2556 ง. 1 ตุลาคม 2550 - 30 กันยายน 2554
5. ข้อใดคือวิสัยทัศน์ประเทศไทย
ก. สังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน คนไทยมีคุณธรรม นำความรอบรู้ รู้เท่าทันโลก ครอบครัวอบอุ่น ชุมชนเข้มแข็ง
ข. สังคมสันติสุข เศรษฐกิจมคุณภาพ เสถียรภาพ และเป็นธรรมสิ่งแวดล้อมมีคุณภาพและทรัพยากรธรรมชาติยั่งยืน
ค. อยู่ภายใต้ระบบบริหารจัดการประเทศที่มีธรรมาภิบาลดำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และอยู่ในประชาคมโลกได้อย่างมีศักดิ์ศรี
ง. ถูกทุกข้อ
6. ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 กำหนดเป้าหมายการศึกษาเฉลี่ยของคนไทยไว้อย่างไร
ก. 9 ปี ข. 10 ปี
ค. 12 ปี ง. 15 ปี
7. ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 ลดอัตราการเจ็บป่วยด้วยโรคที่ป้องกันได้ 5 อันดับแรก ข้อใดไม่ใช่
ก. โรคหัวใจ ข. โรคเอดส์
ค. โรคเบาหวาน ง. โรคมะเร็ง
8. ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 เป้าหมายด้านธรรมาภิบาล คะแนนภาพลักษณ์ความโปร่งใสอยู่ที่ระดับใด
ก. 5.0 ในปี 2555 ข. 6.0 ในปี 2554
ค. 5.0 ในปี 2554 ง. 6.0 ในปี 2555
9. ประธานคณะกรรมการกลั่นกรองและการบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 คือใคร
ก. ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ข. ปลัดกระทรวงมหาดไทย

ค. ปลัดกระทรวงพานิชย์ ง. ปลัดกระทรวงการคลัง
10. PMQA เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
ก. คำรับรองปฏิบัติราชการ 4 มิติ ข. แผนปฏิบัติการแบบ
ค. แผนจัดทำฃำของบประมาณ ง. ถูกทุกข้อ


หมายเหตุ
**ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นการรวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ กราบขออภัยหากการอ้างอิงแสดงไว้ไม่ทั่วถึง...ขอทุกท่านอธิษฐานจิตให้ผลกุศลคุณงามความดีต่างๆ บังเกิดผลแด่ท่านผู้เป็นเจ้าของต้นฉบับ..และ..การนำมาแผยแพร่นี้..เป็นการเอื้อเฝื่อเกิ้อกูลกันตามแบบอย่างธรรมเนียมไทย...ขอทุกท่านใช้ข้อมูลเหล่านี้..เพื่อประโยชน์ท่าน..ประโยชน์สังคมให้เต็มที่เถิด**

***ถ้าข้อมูลส่วนใดเก่า...ล้าสมัยก็อย่าไปใส่ใจนะครับ....มีความคิดเห็นใดๆ...โปรดแสดงความคิดเห็นของท่านกลับให้ทราบด้วย...ขอขอพระคุณ
***************************************ครูปู-ปุถุชน

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 17

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 17
เรื่อง ความรอบรู้

1. กอ.รมน. ตรงกับข้อใด
ก. คณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน
ข. กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน
ค. สำนักงานอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน
ง. ศูนย์ประสานงานอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน
2. “คนดีมีฝีมือ” ศักยภาพของผู้บริหารระดับใด ตามหลักสูตรการพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษา
ก. ระดับที่ 1 ข. ระดับที่ 2
ค. ระดับที่ 3 ง. ระดับที่ 4
3. ”เป็นผู้จัดการที่ดี” ศักยภาพของผู้บริหารระดับใด ตามหลักสูตรการพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษา
ก. ระดับที่ 1 ข. ระดับที่ 2
ค. ระดับที่ 3 ง. ระดับที่ 4
4. “การศึกษาต่อระดับปริญญาโทตรงวุฒิเดิมและวิชาที่สอน จัดเป็นแนวทางการพัฒนาครูตามสมรรถนะระดับใด
ก. ระดับสูง ข. ระดับกลาง
ค. ระดับต้น ง. ทุกระดับ
5. “การพัฒนาครูดีครูเก่ง” ข้อใดถูกต้อง
ก. จัดทุนละ 50,000 บาท/คน/ปี
ข. เน้นวิชาเอกภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสังคมศึกษา
ค. จัดให้เพียง 1000 คน
ง. ถูกทุกข้อ
6. วิธีการฝึกอบรมพัฒนาครูตามโครงสร้างหลักสูตรยกระดับคุณภาพครู ด้วยวิธีการใด
ก. อบรมตามสำนักงานเขต ข. อบรม ณ สถาบันการศึกษา
ค. ระบบ e-training ง. ระบบทางไกลผ่านดาวเทียม
7. ข้อใดคือโครงสร้างหลักสูตรยกระดับคุณภาพครู
ก. การพัฒนาการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ข. ห้องเรียนคุณภาพ 8 ด้าน
ค. การจัดการเรียนรู้เพียง 5 สาระ
ง. ถูกทุกข้อ
8. ข้อใดไม่ใช่เป้าหมายนโยบาย สพฐ.2552
ก. ด้านคุณภาพการศึกษา ข. ด้านโอกาสทางการศึกษา
ค. ด้านประสิทธิภาพทางการศึกษา ง. ด้านการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
9. นโยบาย 3 ดี : Decency สอดคล้องกับกลยุทธ์ สพฐ.2552 ข้อใด
ก. ข้อ 1 ข. ข้อ 2
ค. ข้อ 3 ง. ข้อ 4
10. พัฒนา Web Portal จัดทำ Visual field trip ติวเตอร์ออนไลน์ ห้องเรียนทันข่าว e-Learning ส่งเสริมศูนย์ ICT ของ สพท. เป็นมาตรการกลยุทธ์ใด ของ สพฐ.2552
ก. ข้อ 1 ข. ข้อ 2
ค. ข้อ 3 ง. ข้อ 4


หมายเหตุ
**ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นการรวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ กราบขออภัยหากการอ้างอิงแสดงไว้ไม่ทั่วถึง...ขอทุกท่านอธิษฐานจิตให้ผลกุศลคุณงามความดีต่างๆ บังเกิดผลแด่ท่านผู้เป็นเจ้าของต้นฉบับ..และ..การนำมาแผยแพร่นี้..เป็นการเอื้อเฝื่อเกิ้อกูลกันตามแบบอย่างธรรมเนียมไทย...ขอทุกท่านใช้ข้อมูลเหล่านี้..เพื่อประโยชน์ท่าน..ประโยชน์สังคมให้เต็มที่เถิด**

***ถ้าข้อมูลส่วนใดเก่า...ล้าสมัยก็อย่าไปใส่ใจนะครับ....มีความคิดเห็นใดๆ...โปรดแสดงความคิดเห็นของท่านกลับให้ทราบด้วย...ขอขอพระคุณ
***************************************ครูปู-ปุถุชน

วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 16

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 16
เรื่อง หลักสูตรการพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษา(ต่อ)

1. ”รังเกียจต่อการซื้อสิทธิ์ขายเสียง” ตรงกับข้อใด
ก. Decency ข. Democracy
ค. Drug ง. December
2. “นโยบาย 5 รั้วป้องกัน” สอดคล้องกับนโยบาย 3 D ข้อใด
ก. Decency ข. Democracy
ค. Drug ง. December
3. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับ 5 รั้วป้องกัน
ก. รั้วสังคม ข. รั้วครอบครัว
ค. รั้วหมู่บ้าน ง. รั้วโรงเรียน
4. ศอ.บ.ต. ตรงกับข้อใด
ก. ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
ข. สำนักงานอำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
ค. สำนักงานศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
ง. อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
5. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับนโยบายการศึกษา
ก. โรงเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐานจะต้องมีชั่วโมงประวัติศาสตร์ 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แยกออกมาเฉพาะ
ข. โรงเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐานจะต้องมีชั่วโมงประวัติศาสตร์ 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์แยกออกมา เฉพาะและบูรณาการ
ค. โรงเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐานจะต้องมีชั่วโมงประวัติศาสตร์ 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แยกออกมาเฉพาะ
ง. โรงเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐานจะต้องมีชั่วโมงประวัติศาสตร์ 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์แยกออกมาเฉพาะและบูรณาการ
6. เป้าหมายของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ต้องการผลิตผู้เรียนให้เป็นผู้ที่มีความเก่ง ดี มีความสุข และภูมิใจในความเป็นไทย ตรงกับนโยบายใด
ก. นโยบาย 5 รั้วป้องกัน ข. นโยบายเรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ
ค. นโยบายปฏิรูปการศึกษารอบสอง ง. นโยบาย 3D
7. ”เกิดความภาคภูมิใจในความเป็นไทย” เกี่ยวข้องกับวิชาใด
ก. ภาษาไทย ข. พระพุทธศาสนา
ค. ประวัติศาสตร์ ง. วรรณคดี
8. ความสำเร็จจากการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ข้อใดไม่เกี่ยวข้อง
ก. ร่วมคิดร่วมทำ ข. ความผูกพันต่อสถานศึกษา
ค. ผลประโยชน์ของครูและผู้บริหาร ง. เกี่ยวข้องทุกข้อ
9. ข้อใดคือภารกิจหลักของสถานศึกษา
ก. คุณภาพผู้เรียน ข. วิทยฐานะของครูและผู้บริหาร
ค. รางวัลของโรงเรียน ง. ถูกทุกข้อ
10. “กระตุ้นให้มีการใช้เทคโนโลยีการเรียนการสอน” สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริหารข้อใด
ก. การอำนวยความสะดวก
ข. การนิเทศและติดตาม
ค. การใช้เทคโนโลยีและข้อมูลที่หลากหลาย
ง. สนับสนุนพัฒนาวิชาชีพ


หมายเหตุ
**ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นการรวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ กราบขออภัยหากการอ้างอิงแสดงไว้ไม่ทั่วถึง...ขอทุกท่านอธิษฐานจิตให้ผลกุศลคุณงามความดีต่างๆ บังเกิดผลแด่ท่านผู้เป็นเจ้าของต้นฉบับ..และ..การนำมาแผยแพร่นี้..เป็นการเอื้อเฝื่อเกิ้อกูลกันตามแบบอย่างธรรมเนียมไทย...ขอทุกท่านใช้ข้อมูลเหล่านี้..เพื่อประโยชน์ท่าน..ประโยชน์สังคมให้เต็มที่เถิด**

***ถ้าข้อมูลส่วนใดเก่า...ล้าสมัยก็อย่าไปใส่ใจนะครับ....มีความคิดเห็นใดๆ...โปรดแสดงความคิดเห็นของท่านกลับให้ทราบด้วย...ขอขอพระคุณ
***************************************ครูปู-ปุถุชน

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 15

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 15
เรื่อง หลักสูตรการพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษา(ต่อ)

1. นโยบายรัฐบาลด้านการศึกษาได้แถลงต่อรัฐสภา เมื่อใด
ก. 27 ธันวาคม 2551 ข. 29 ธันวาคม 2551
ค. 30 ธันวาคม 2551 ง. 2 พฤศจิกายน 2551
2. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายรัฐบาลด้านการศึกษา
ก. ปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ
ข. พัฒนาครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา
ค. ยกระดับคุณภาพมาตรฐานการศึกษาทุกระดับ
ง. ส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน และประชาชนใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศเชิงสร้างสรรค์
3. โครงการใดของรัฐบาลที่ช่วยลดภาระงานครูที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน
ก. โครงการเรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ
ข. โครงการนโยบาย 3 ดี
ค. โฃรงการคืนครูให้นักเรียน
ง. โครงการ 9 ในดวงใจ
4. นโยบายรัฐบาล “จัดให้ทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาฟรี 15 ปี” ข้อใดถูกต้อง
ก. ตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
ข. ตั้งแต่ประถมศึกษาไปจนถึงปริญญาตรี
ค. ตั้งแต่อนุบาลไปจนถึงระดับปริญญาตรี
ง. ตั้งแต่อนุบาลไปจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
5. “การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเชิงสร้างสรรค์อย่างชาญฉลาด” สอดคล้องกับข้อใด
ก. เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้
ข. เพื่อสร้างเสริมความรู้และทักษะ
ค. เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ความรู้ด้านเทคโนโลยี
ง. เพื่อเป็นเครื่องมือในการสืบค้นข้อมูล อินเทอร์เน็ต
6. นโยบายรัฐบาลด้านการศึกษา มีกี่ข้อ
ก. 6 ข้อ ข. 8 ข้อ
ค. 10 ข้อ ง. 12 ข้อ
7. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาได้เสนอแนวทางการปฏิรูปการศึกษา ข้อใดไม่ใช่
ก. พัฒนาคุณภาพการศึกษา ข. การผลิตและพัฒนาครู
ค. เพิ่มโอกาสทางการศึกษา ง. ถูกทุกข้อ
8. นโยบายเรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550มาตราใด
ก. มาตรา 39 ข. มาตรา 49
ค. มาตรา 59 ง. มาตรา 69
9. ข้อใดคือค่าใช้จ่ายตามนโยบายเรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ
ก. หนังสือเรียน ข. อุปกรณ์การเรียน
ค. เครื่องแบบนักเรียน ง. ถูกทุกข้อ
10. “รับผิดชอบชั่วดี” ตรงกับข้อใดของนโยบาย 3 D
ก. Decency ข. Democracy
ค. Drug ง. December


หมายเหตุ
**ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นการรวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ กราบขออภัยหากการอ้างอิงแสดงไว้ไม่ทั่วถึง...ขอทุกท่านอธิษฐานจิตให้ผลกุศลคุณงามความดีต่างๆ บังเกิดผลแด่ท่านผู้เป็นเจ้าของต้นฉบับ..และ..การนำมาแผยแพร่นี้..เป็นการเอื้อเฝื่อเกิ้อกูลกันตามแบบอย่างธรรมเนียมไทย...ขอทุกท่านใช้ข้อมูลเหล่านี้..เพื่อประโยชน์ท่าน..ประโยชน์สังคมให้เต็มที่เถิด**

***ถ้าข้อมูลส่วนใดเก่า...ล้าสมัยก็อย่าไปใส่ใจนะครับ....มีความคิดเห็นใดๆ...โปรดแสดงความคิดเห็นของท่านกลับให้ทราบด้วย...ขอขอพระคุณ
***************************************ครูปู-ปุถุชน

การรับรู้เกี่ยวกับตนเอง

การรับรู้เกี่ยวกับตนเอง
การับรู้เกี่ยวกับตนเอง เป็นสิ่งที่บุคคลจะต้องทำ การรู้จักตนเองก่อน วิธีที่บุคคลจะรู้จักตนเอง ได้ชัดเจนคือ การสำรวจตนเอง ทำให้บุคคลสามารถมองตนเองอย่างชัดเจน ทั้งในแง่บวกแง่ลบ ทั้งในส่วนที่ดีและส่วนที่ต้องปรับปรุง รวมไปถึง ความสามารถใน การสำรวจตนเอง ว่าตนเองมีบุคลิกภาพ ส่วนใดจะต้องพัฒนาให้ดียิ่งๆ ขึ้นและ การที่บุคคลจะรู้จักตัวเองได้นั้น
กันยา สุวรรณแสง (2533:322-326) อธิบายโดยสรุปว่า บุคคลจะต้องรู้จักตนเองอย่างน้อยใน 3 ลักษณะคือ
อันดับแรกได้แก่ อุปนิสัยของตนเอง เราต้องวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนว่า ตนเองมีอุปนิสัยอย่างไร อุปนิสัยใดดี ก็ควรส่งเสริมไว้ อุปนิสัยอะไรไม่ดี ก็ควรแก้ไขอาจจะใช้เวลานาน แต่ถ้าเรามีความตั้งใจจริง ก็สามารถทำได้
ประการที่สองคือ ลักษณะส่วนรวมของตน ลักษณะนี้คงต้องอาศัยจากผู้อื่นช่วยบอก บางครั้งเราไม่ต้องการ ฟังคำวิจารณ์ เพราะอาจจะทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด แต่เราจงอดทนฟัง คำวิจารณ์ เพราะคำทวงติง จากมิตรดีและ คนที่มีความจริงใจแล้ว เรานำมาไตร่ตรอง บางครั้งคำวิจารณ์ คำทวงติงเหล่านั้น อาจมีข้อคิดที่ดีมากมาย
และประการสุดท้ายคือ บทบาทของตน เราแต่ละคนมี สถานภาพ (Status) จึงต้องแสดง บทบาท(Role) เราจึงต้องแสดงตน ตามบทบาท ที่เราได้รับให้สมบูรณ์
นอกจากนี้ในเรื่อง การรับรู้เกี่ยวกับตนเอง เราทุกคนก็สามารถกระทำได้โดย การที่เราสามารถทำความเข้าใจในตนเองได้ทุกแง่ทุกมุม ทั้งมุมกว้างและมุมลึก ทั้งส่วนที่ดี และส่วนที่ยังต้องพัฒนา โดยเราต้องพยายามทำใจให้เป็นกลาง อย่าเข้าข้างตนเองมากเกินไป จนมองตนไม่ออก นั่นก็เท่ากับว่า ท่านไม่สามารถวิเคราะห์ตนเองได้ และสุดท้ายของการรับรู้ตนเอง คือ ความสามารถเปิดใจกว้าง ในการยอมรับฟัง ความคิดเห็นของผู้อื่น เพื่อนำมาพัฒนาตน สำหรับ การรับรู้ตนเอง ตามแนวคิดของคาร์ล โรเจอร์ ( Carl Rogers ) ซึ่งเป็นนักจิตวิทยากลุ่มมนุษยนิยม เขามีความสนใจเรื่อง มนุษย์ เขามองมนุษย์ในแง่ดีและเชื่อว่ามนุษย์มีธรรมชาติที่ดีงาม และมนุษย์ยังเป็นผู้ที่ได้รับการขัดเกลามาแล้ว รักความก้าวหน้า พูดจริง ทำจริง รวมทั้งมีความสามารถหลายๆ อย่าง แนวคิดที่สำคัญคือ เขาเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนนั้น มีความรู้สึกนึกคิด เป็นของตนเอง หรือ มีแนวความคิดของตนเอง ( Self Concept ) อาจจะกล่าวสรุปว่า มนุษย์มีภาพของตนจากตาที่มองเห็นสิ่งต่างๆ และภาพของตนจากใจ ในการนึกคิดภาพต่างๆ ที่เกิดเป็น มโนภาพทางจิตของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง คุณสมบัติ รูปสมบัติ และทรัพย์สมบัติ ตัวตนตามแนวคิดของคาร์ล โรเจอร์ จึงประกอบไปด้วยตัวตน 3 ประเภทคือ
1. ตัวตนที่เป็นจริง ( Real self )
2. ตัวตนที่คิดว่าเราเป็น (Perceived self )
3. ตัวตนที่เราต้องการจะเป็น (Ideal self )
ซึ่งในสภาพความเป็นจริงขณะนี้เรากำลังเป็นนักศึกษา เรากำลังนั่งเรียนอยู่ในห้อง การที่เรารับรู้ว่า เราเป็นนักศึกษา และกำลังนั่งเรียนอยู่ในห้อง ขณะนี้นั่นคือ ตัวตนที่เป็นจริง พอวันหนึ่งมีคนทักว่า เราอ้วนไป ซึ่งเราก็พยายามที่จะลดน้ำหนัก แต่ยิ่งลดน้ำหนักเท่าใดตัวเราก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ เมื่อมีเพื่อนๆ เห็นเราก็บอกเราว่า เธอยังคงมีรูปร่างเหมือนเดิม แต่ในใจเราบอกว่าจริงๆ แล้วเราลดน้ำหนักลงแล้ว ความคิดตรงนั้นคือตัวตนที่คิดว่าเราเป็น แต่ก็มีบางช่วงที่เราฝันอยากจะเป็นเศรษฐี เป็นคนรวย อยากมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย นั่นเป็นตัวตนที่เราต้องการจะเป็น ดังนั้นตัวตนที่อยู่กับตัวเรา จะประกอบด้วย ภาพภายในใจของเรา ตามที่เราคิด และจะต้องอยู่กับเราอย่างสมดุล และสอดคล้องกัน ส่วนภาพภายในใจของเรากับตัวตนจริงๆ ของเรา จะไม่ทำให้เราเกิดความคับข้องใจ เมื่อภาพทั้ง ภายในและภาพทั้งภายนอก สมดุลกัน บุคคลก็จะเกิด การรับรู้เกี่ยวกับตนเองอย่างถูกต้อง การรับรู้เกี่ยวกับตัวเอง ตามแนวคิดนี้จึงเน้นที่ รับรู้ตัวตน ทั้งภายในและภายนอก อย่างสอดคล้องกัน สำหรับเรื่อง การรับรู้เกี่ยวกับตัวเอง นั้นสิ่งที่บุคคลควรจะพิจารณาเป็นเรื่องต้นๆ 3 เรื่องคือ เรื่องตนเองซึ่งประกอบไปด้วย ลักษณะทางกาย และลักษณะทางจิต และเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ตนอยู่ตั้งแต่สังคม วัฒนธรรมรวมไปจนถึงอิทธิพลของสื่อต่างๆ ที่บุคคลเข้าไปเกี่ยวข้อง ดังจะอธิบายแยกเป็นข้อๆ คือ
1. การรับรู้เกี่ยวกับตนเองทางด้านลักษณะทางกาย ได้แก่การที่บุคคลต้องรู้จักตนเองใน ส่วนของสรีระทางกายว่า ตนเองมีรูปร่างหน้าตา หน้าตาเป็นอย่างไร ขนาดของร่างกาย ทรวดทรงและสัดส่วนของร่างกาย การทรงตัวกิริยาท่าทา งอิริยาบถต่างๆ ผิวพรรณ และรวมไปถึง สุขภาพของร่างกาย และมีสติปัญญา รู้คิดรู้พิจารณาในเรื่องต่างๆ ได้ มีความรู้ความสามารถ ที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ ลักษณะทางกาย เป็นเรื่องของพันธุกรรม เราคงกำหนดมากไม่ได้นัก แต่เราอาจดูแลรักษาให้ร่างกายสะอาด เป็นอย่างธรรมชาติ ที่กำหนด และงดงามตามธรรมชาติ หรือปรุงแต่งให้ดูดี ตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า ลักษณะทางกายของเราอาจบอก บุคลิกภาพของบุคคลได้
2. การรับรู้เกี่ยวกับตนเองทางด้านลักษณะทางจิต เป็นการรับรู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องอารมณ์ ความสนใจ ความถนัด แต่ถ้าจะกล่าว ให้ชัดลงไปคือ การรับรู้ในเรื่อง ลักษณะนิสัยของตนเอง ในความเป็นบุคคล นิสัยของบุคคล จะเริ่มจาก การที่บุคคล มีปฏิกิริยา ต่อสิ่งเร้าซึ่งเป็นการกระทำที่เกิดขึ้น โดยการผ่าน กระบวนการเรียนรู้ พอบุคคลโตขึ้นมาหน่อย เด็กที่เริ่มเรียนรู้ มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้า หลายๆอย่าง เด็กเกิดการโต้ตอบต่อสิ่งเร้าต่างๆ และเกิด การผสมผสานอย่างเป็นระบบขึ้น ในส่วนนี้ เราเรียกว่า เกิดลักษณะนิสัย ดังนั้นนิสัยจึงเป็น ระบบที่ถูกผสมผสานให้เกิด การโต้ตอบต่อสิ่งต่างๆที่เข้ามาเร้า สิ่งเร้า อาจเป็นคน สัตว์ สิ่งของ หรือเป็นสถานการณ์ก็ได้ พอเด็กเริ่มเข้าโรงเรียน จากเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันเริ่มเรียนรู้ เริ่มสะสมสิ่งต่างๆ เข้ามาในชีวิต เด็กเริ่มมี ระบบผสมผสานนิสัยต่างๆ มากขึ้นมี การรวมเอาสิ่งที่ได้เรียนรู้ทั้งที่ โรงเรียน วัด สื่อรูปแบบต่างๆเช่นวิทยุ โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต กลุ่มสังคมใกล้เคียงที่อาศัย ทำให้เด็กพัฒนา เจตคติ คุณธรรมและความสนใจเข้าไว้ด้วยกัน จากนิสัยก็กลายเป็น ลักษณะนิสัย และลักษณะนิสัยต่างๆ ถูกจัดระบบให้อยู่ในระบบใหญ่ที่เรียกว่า “ตัวของตัวเอง”หรือ “Self” แต่สามารถมีตัวของตัวเอง ได้มากกว่าหนึ่ง เช่น เป็นลูกที่น่ารักของแม่ เป็นเด็กดีของคุณครู เป็นนักว่ายน้ำ เป็นคนสนุกในหมู่เพื่อนๆ ตัวของตัวเองจึงมีลักษณะ ต่างกันไป ซึ่งการผสมผสานระบบต่างๆในขั้นสุดท้ายจึงเกิดเป็นบุคลิกภาพ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า ไม่มีอะไรที่จะสะท้อนให้เห็น บุคลิกภาพได้ดีเท่า “ลักษณะนิสัย” หรือ”อุปนิสัย”
อุปนิสัยมีความหมายกว้างกว่านิสัย เพราะอุปนิสัยเชื่อมโยงและรวมเอานิสัยต่างๆ ตั้งแต่สองอย่างเข้าไว้ด้วยกัน อุปนิสัยจะเป็นการตอบสนองในสภาพการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เช่น คนที่มีอุปนิสัยเอื้อเฟื้อ ก็จะมีนิสัยหลายๆ อย่างรวมกันเช่น เป็นคนใจดี เสียสละ เป็นคนมีเมตตากรุณา เป็นคนโอบอ้อมอารี ชอบสังคม มีความเป็นมิตรกับทุกคน เป็นต้น
นอกจากนี้แล้ว อุปนิสัย หรือลักษณะนิสัย ยังทำหน้าที่ประเมินค่า เมื่อมันทำงานร่วมกับ เจตคติ โดยเจตคติ จะใช้ประเมินความรู้สึก โดยจะแสดงออก ในเรื่องจะยอมรับได้ หรือไม่สามารถยอมรับ ในสิ่งต่างๆ หรือเรื่องต่างๆ เจตคติเป็น ความรู้สึกนึกคิด ที่บุคคลมีอย่างเฉพาะเจาะจงต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งนับเป็นการเชื่อมโยงความรู้สึกกับบางสิ่งบางอย่างโดยเฉพาะ แต่อุปนิสัยครอบคลุมไปยัง ลักษณะทั่วไป ส่วนเจตคติมีระดับความมากน้อยแตกต่างกันอาจอยู่ในระดับต่ำสุด ปานกลาง สูงสุด แต่อุปนิสัยมีเพียงระดับปกติ โดยอุปนิสัย ทำหน้าที่ชี้นำ หรือกำหนดพฤติกรรมต่างๆของบุคคลและทำหน้าที่ส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรม อุปนิสัยบางอย่าง ทำหน้าที่เป็นสิ่งเร้า หรือแรงจูงใจ ให้บุคคลแสดงพฤติกรรมต่างๆ โดยสิ่งเร้าต่างๆ จะกระตุ้นให้อุปนิสัย ทำหน้าที่ตามบทบาท ต่างๆของตนเอง อย่างเหมาะสม
3. การรับรู้เกี่ยวกับตนเองทางด้านสิ่งแวดล้อมนั้น เมื่อบุคคลเกิดมาทุกชีวิต ต้องสัมผัสกับสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ระบบครอบครัว ไปจนถึงระบบสังคมใหญ่ สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อบุคคลมาก เป็น ตัวกำหนดบุคลิกภาพ บุคคลต้องเรียนรู้ว่า ตนเองอยู่ใน สภาพสิ่งแวดล้อมอย่างไร และประเมินบรรทัดฐานทางสังคม ได้ว่าตัวเราพึงปฏิบัติตนอย่างไร
อย่างไรก็ดี เพื่อให้การศึกษาในเรื่องนี้เข้าใจยิ่งขึ้นท่านต้องมีความรู้พื้นฐาน เรื่องธรรมชาติของมนุษย์ และความต้องการของมนุษย์ เพื่อเป็นแนวทาง ให้ท่านเข้าใจเรื่อง การรับรู้เกี่ยวกับตนเองมากยิ่งขึ้น
ธรรมชาติของมนุษย์
ความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดของกลุ่มจิตวิทยาเกสตอล เช่น Frederick Solomon Perls ซึ่งเป็นนักจิตวิทยา “กลุ่มจิตวิทยา
เกสตอล” อธิบายว่า ความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์มี 7 ประการคือ
1. มนุษย์เป็นส่วนเต็มที่ประกอบขึ้นด้วยส่วนต่างๆ ที่ทำงานประสานกัน คือ ร่างกาย ความคิด ความรู้สึก การรับรู้ ซึ่งส่วนต่างๆเหล่านี้ จะเข้าใจในแต่ละส่วนเฉพาะไม่ได้ ต้องเข้าใจในลักษณะของเต็มส่วนทั้งตัวบุคคล
2. มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมจะเข้าใจบุคคลได้โดยปราศจากการเข้าใจสภาพแวดล้อมของเขาไม่ได้
3. มนุษย์เป็นผู้เลือกว่าเขาจะตอบสนองกับสิ่งเร้าภายนอกและสิ่งเร้าภายในตัวเขาอย่างไร มนุษย์เป็นผู้แสดงพฤติกรรม
4. มนุษย์มีศักยภาพที่จะรับรู้ สัมผัสในตัวเองได้เกี่ยวกับความคิดความรู้สึกและอารมณ์ของตัวเอง
5. มนุษย์สามารถตัดสินใจได้ เพราะเขาเกิดการรับรู้
6. มนุษย์สามารถรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. มนุษย์ไม่สามารถนำตนเองกลับไปสู่อดีตหรืออนาคตได้ เขาสามารถรับรู้เหตุการณ์ต่างๆได้ในสภาวะปัจจุบันเท่านั้น
ความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดของ “กลุ่มจิตวิทยาจิตวิเคราะห์” กลุ่มนี้มีนักจิตวิทยาที่สำคัญคือ Sigmund Freud ซึ่งเป็นนักจิตวิทยากลุ่มจิตวิเคราะห์อธิบายว่า ความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์มี คือ มนุษย์เกิดมาพร้อมกับสัญชาตญาณ ( instinctual drives ) แรงขับดังกล่าวเป็นพลังงานที่สามารถเปลี่ยนแปลงเคลื่อนที่ได้ สัญชาตญาณพื้นฐานคือ สัญชาตญาณแห่งชีวิต และสัญชาตญาณแห่งความตาย พฤติกรรมและการแสดงออกต่างๆ ของมนุษย์จะเกี่ยวข้องกับแรงจูงใจที่เป็นไปตามธรรมชาติ พฤติกรรมบางอย่างที่บุคคลแสดงไปโดยไม่รู้สึกตัวเป็นเพราะพลังจากจิตไร้สำนึกกระตุ้นให้บุคคลแสดงออกไปตาม หลักความพึงพอใจของตนอาการป่วยของบุคคลจึงเกิดขึ้นในระดับจิตไร้สำนึก( unconscious ) ทำให้มนุษย์ใช้กลไกในการป้องกันตัวเอง ( defense mechanism )
ความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดของ “กลุ่มพฤติกรรมนิยม”กลุ่มนี้มีนักจิตวิทยาที่สำคัญคือ Pavlov และ B.F. skinner ธรรมชาติของมนุษย์เกิดมาไม่ทั้งดีและเลวมนุษย์ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมพฤติกรรมทั้งที่ปกติและผิดปกติเป็น ผลมาจากการเรียนรุ้ซึ่งการเรียนรู้นี้สามารถทำให้เกิดขึ้นได้โดยการจัดสภาพสิ่งแวดล้อมภายใต้เงื่อนไขต่างๆและ การเรียนรู้เก่าสามารถ ทำให้หมดไป และสามารถสร้างระบบการเรียนรู้ใหม่ขึ้นได้ มนุษย์มีความสามารถที่จะควบคุมเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมของตนเอง แม้จะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมต่างๆ
ธรรมชาติเกี่ยวกับบุคคล ในเรื่องนี้ ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ ( 2541 : 40-42 ) อธิบายว่าธรรมชาติเกี่ยวกับบุคคล พอสรุปได้ดังนี้คือ
1. มนุษย์มีธรรมชาติของความเป็นผู้มีเหตุผลและการใช้อารมณ์ บุคคลที่ถูกมองว่า เป็นผู้มีเหตุผลเหมือนคอมพิวเตอร์ ที่มีชีวิต คนเป็นผู้มีระบบในการรวบรวมข่าวสารตามที่ต้องการ สามารถวิเคราะห์งานได้ละเอียด และระมัดระวัง สามารถชั่งน้ำหนัก และประเมินสถานการณ์และรวมถึง ความมีเหตุผลในการใช้ความคิด เอ็ดเวิร์ด ( Edward . 1954 , ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ . 2541: 41 ) นักจิตวิทยาได้ให้สมญานามมนุษย์ว่ามนุษย์เป็นผู้มีเหตุผลในกระบวนการของข่าวสารใน แนวคิดที่ตรงข้ามมนุษย์เป็น ผู้ใช้อารมณ์ หรือมนุษย์เป็นผู้ใช้อารมณ์หลากหลายบางคนก็ควบคุมตนเองไม่ได้และขาดสติ ตัวอย่างเช่น งานของ Freud ได้ชี้ให้เห็น จิตไร้สำนึก ของบุคคลเต็มไปด้วยความคับข้องใจซึ่งมีผลมาจากประสบการณ์ในวัยเด็กคือ มีการคิดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเหมือนกับพ่อกับลูก
2. มนุษย์มีธรรมชาติในลักษณะพฤติกรรมนิยมกับปรากฏการณ์นิยม นักจิตวิทยา กลุ่มพฤติกรรมนิยม อธิบายว่า การมองบุคคลใน การแสดงออกถึงพฤติกรรมต่างๆและเชื่อว่าพฤติกรรมสามารถปรับเปลี่ยนได้ถ้าถูกวางเงื่อนไขให้กระทำได้ วัตสัน ( Watson. 1930, อ้างอิงจากปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์. 2541 : 41 ) ได้อธิบายว่า “ให้เด็กทารกที่มีสุขภาพสมบูรณ์สักกลุ่มหนึ่ง ฉันสามารถอบรมเลี้ยงดู ให้เด็กเป็นไปตามที่ฉันต้องการได้ ตั้งแต่เป็นนายแพทย์ จิตกร แม้แต่ขอทานและโจร โดยดูจากความสามารถ ความถนัดในอาชีพ ตลอดจนเชื้อชาติของบรรพบุรุษ” และ สกินเนอร์ ( Skiners. ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์. 2541 : 41 ) อธิบายว่า “พฤติกรรมของมนุษย์สามารถปรับได้ แต่ก็มีนักจิตวิทยาบางท่านที่อาจเห็นว่า บุคคลมีความสามารถตามระดับสติปัญญาของเขาเอง เราไม่สามารถทำนายได้ว่าเขาเป็นอย่างไร เขาอยู่ในโลกของเขา เขามีความเป็นตัวของเขาเอง บุคคลแต่ละคนมีบุคลิกภาพเฉพาะตัว การศึกษาเกี่ยวกับคนต้องศึกษาทุกๆ ด้าน บุคคลเป็นผู้มีสมรรถภาพมากกว่าที่เรารู้จัก
3. มนุษย์มีธรรมชาติที่จะคำนึงเศรษฐกิจและการรู้จักตนเอง ในหัวข้อนี้อธิบายว่า มนุษย์เป็นผู้มีเหตุผลและใช้เหตุผล การคำนึงถึง สิ่งที่จะสร้าง ความพึงพอใจของตนเองในการลงทุนและลงแรงน้อยที่สุด ความพึงพอใจไม่ได้หมายถึงความภูมิใจในงานเท่านั้น หากแต่เป็นความรู้สึกถึง ความสามารถกระทำสิ่งใดๆได้สำเร็จและบางคนอาจหมายถึงเงินหรือเศรษฐกิจนั่นเอง การที่มนุษย์จะเป็นผู้ที่รู้จักตนเองได้ มนุษย์ก็ต้องศึกษา เรื่องของตนเองอย่างละเอียด ว่าตนเองต้องการอะไร มีปัจจัยใดบ้างที่ทำให้ตนเองสามารถพัฒนา พฤติกรรมที่เรากระทำอยู่นี้ เป็นเหตุเป็นผล เรื่องใด แต่หลายคนคงปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งมาจากเรื่องเศรษฐกิจนั่นเอง
ธรรมชาติของมนุษย์
แนวคิดเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ แนวคิดในเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ ผู้เขียนขอสรุปแนวคิด เรื่องธรรมชาติของมนุษย์ไว้ดังนี้ คือ
1. มนุษย์เป็นผู้มีศักดิ์ศรี แนวความคิดนี้เชื่อว่ามนุษย์มีความดีงามติดตัวมาตั้งแต่เกิด และมนุษย์มีความสามารถ ที่จะพัฒนาตนเอง ให้เต็มศักยภาพเท่าที่ตนเองต้องการ การเคารพและให้เกียรติกันจึงเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา
2. มนุษย์มีความแตกต่างกัน แตกต่างในเรื่องพันธุกรรม ในเรื่องสิ่งแวดล้อม แตกต่างกันในเรื่องการอบรมเลี้ยงดู รวมไปถึงวัฒนธรรม ที่ตนเองอยู่ เราไม่เหมือนคนอื่นและคนอื่นก็ไม่เหมือนกับเรา เราก็มีความรู้ความสามารถ ความถนัดอย่างหนึ่ง คนอื่นก็มีความรู้ความสามารถ อีกอย่างหนึ่ง ต่างคนต่างมีความรู้ความสามารถ ที่แตกต่างกันจะให้เขา เหมือนเรา และจะให้เราเหมือน เขาคงเป็นไปไม่ได้ หรือในเรื่องเพศต่างกันการกระทำ ความคิด ความสนใจ เจตคติก็แตกต่างกัน ดังนั้นเมื่อรู้ว่า มนุษย์มีความแตกต่างกัน เราก็ยอมรับธรรมชาติ ของแต่ละคน ไม่เอาเขามาเปรียบกับเรา ไม่เอาตัวเราไปตั้งเกณฑ์ประเมินค่าตามคนอื่น อยู่แบบเขาเป็นเขาและเราก็เป็นเรา เคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกันชีวิตก็มีค่า ชีวิตก็มีความสุข
3. มนุษย์มีแรงจูงใจในทางที่ดี ที่สูงขึ้นมนุษย์ต้องการที่จะพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น มนุษย์มีแรงจูงใจ จะทำให้มนุษย์กระทำ สิ่งต่างๆ เพื่อให้ตนเองไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ
4. พฤติกรรมของมนุษย์ทุกอย่างต้องมีสาเหตุ มีที่มามีที่ไปบุคคลจะไม่กระทำสิ่งใด ๆ แบบไร้สติ ไร้ความนึกคิด แต่การกระทำของบุคคล มีเหตุผลแห่งการกระทำโดยทั้งสิ้น เช่น คนที่ขยันทำงานอาจมาจากความต้องการผลสัมฤทธิ์ในงาน ต้องการความภูมิใจในตนเอง หรือแม้บางคนอาจต้องการเงินเป็นต้น อย่างไรก็ดีเราไม่สามารถเข้าใจพฤติกรรมของคนอื่นว่ามาจากสาเหตุใด แต่ว่าเราทราบ สิ่งที่ตัวเราเป็น ตัวเรากำลังจะทำอะไร การที่จะเป็นและการที่จะทำจะต้องมีพื้นฐานที่ชอบธรรม มีคุณธรรมกำกับ มีมโนธรรมสอนใจ ซึ่งจะทำให้เราเป็นคนที่ดีมีสุข และมนุษย์ก็รู้ว่าสิ่งที่ตนเองกระทำมีสาเหตุมาจากอะไร
5. มนุษย์มีความต้องการ ความต้องการของมนุษย์จะเริ่มจากสิ่งที่เป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต และเมื่อความต้องการนั้นๆ ได้รับการตอบสนองแล้ว บุคคลก็จะมีความต้องการในลำดับที่สูงขึ้นตามลำดับ เช่น ต้องการความรัก ต้องการเกียรติยศชื่อเสียง ฯลฯ
6. มนุษย์มีความต้องการพัฒนาการชีวิต การพัฒนาการของมนุษย์จะพัฒนาการเป็นไป ตามช่วงวัย วัยต่างๆของมนุษย์ จะทำให้เห็นการพัฒนาบุคลิกภาพของมนุษย์ตามช่วงวัย ถ้าบุคคลที่มีการพัฒนาการปกติ พัฒนาการบุคลิกภาพก็จะเพิ่มขึ้น หรือพัฒนาตามอายุ หรือตามช่วงวัยเช่นเดียวกัน เช่น พัฒนาการบุคลิกภาพของวัยผู้ใหญ่ย่อมจะดีกว่าวัยรุ่น แต่อย่างไรก็ดีพัฒนาการที่เป็นไปตามลำดับขั้นก็จะสร้างเสริมบุคลิกภาพของบุคคลให้เป็นรอยประสบการณ์ของบุคคลด้วย
7. มนุษย์ต้องการการผักผ่อน การนอนหลับหรือแม้แต่การไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจก็ เป็นการทำให้ชีวิตสดชื่นขึ้น ยามใดที่บุคคล ทำงานจนลืมนึกถึงตนเอง ยามนั้นความเหนื่อยความเมื่อยล้าทำให้ประสิทธิภาพของบุคคลลดน้อยถอยลง นั่นเป็นสิ่งที่เตือนว่า ถึงเวลาที่ต้องพักผ่อนแล้ว
8. มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มนุษย์ต้องการเพื่อน ต้องการกลุ่ม ต้องการสมาคม ไม่มีใครอยู่คนเดียวในโลก เราไม่ได้เกิดจากกระบอกไม้ไผ่ เราทุกคนมีพ่อมีแม่ มีคนหลายคนเลี้ยงดูเรา มีหลายคนที่ดูแลอบรมให้การศึกษาเรา การมีเพื่อน การมีกลุ่มจะทำให้เราไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ยามทุกข์หรือสุข มีใครสักคนที่พร้อมจะฟังเราอยู่ข้างๆ เรา นี่แหละที่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม
9. มนุษย์ต้องการขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรม มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมี กรอบในการดำเนินชีวิต ตามกระแสของสังคม และประเทศชาติ และสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยในการปลูกฝังเจตคติ ค่านิยม แนวคิด การตัดสินใจ รวมไปถึงการแสดงพฤติกรรมต่างๆ ที่ทำให้บุคคลแตกต่างกันด้วย
10. มนุษย์มีความต้องการ การอยากรู้อยากเห็น การอยากเข้าใจในสิ่งที่ตนเองไม่รู้ ดังนั้นมนุษย์ต้องเรียนรู้ เพื่อพัฒนาศักยภาพของตนเอง และตอบคำถามความอยากรู้ การใคร่จะรู้ด้วยตนเอง และการอยากรู้อยากเห็น ในแต่ละบุคคลก็แตกต่างกันด้วย
ในเรื่องการรับรู้เกี่ยวกับ ตนเองเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพนั้นยังมีแนวคิดอื่น ๆ อีก ที่ช่วยให้การ ศึกษาเรื่อง การพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคลนั้นๆ แต่สิ่งสำคัญที่ควรทำความเข้าใจร่วมกัน กล่าวคือความหมายของคำว่า บุคลิกภาพหมายถึงอะไร บุคลิกภาพ หมายถึง ทุก ๆ อย่าง ที่เป็นตัวเรา ทั้งที่ปรากฏและที่ซ่อนเร้น หรือในส่วนที่เป็นแนวคิด ค่านิยม ความเชื่อ คุณภาพทางจิต จิตแบบยึดติด หรือจิตแบบสารธารณะ คือจิตที่รู้จักให้ รู้จักอภัย รู้จักปล่อยวางและรู้จักที่จะเกื้อกูล ในสังคมมีคนหลากหลายมากมายท่านรู้หรือไม่ว่ามนุษย์มีความต้องการอะไรเขาอาจจะต้องการเงิน ต้องการเกียรติ ต้องการอำนาจ หรือไม่ก็ขอให้ถูกรางวัลกับเขาสักงวด บางคนอาจขอแค่มีกินก็มีความสุขแล้ว บางคนอาจขอแค่ลูก ๆ เป็นคนดีเท่านี้ก็พอใจแล้ว หลากหลายคำตอบหลากหลายความคิดซึ่งทุกคนคิดได้ ฝันได้และหวังได้ ส่วนจะเป็นตามที่หลายคนฝัน หรือหลายคนหวังหรือไม่นั้น จะเป็นไปตามที่เราต้องการหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่สำหรับแนวคิดของนักจิตวิทยา หลายท่านเชื่อว่า มนุษย์มีความต้องการ และได้อธิบายว่า มนุษย์มีความต้องการอะไร
ความต้องการของมนุษย์
แนวความคิดของมาสโลว์ ( Maslow ) เชื่อว่ามนุษย์มีความต้องการที่จะบรรลุถึงขีดสูงสุดของศักยภาพ มาสโลว์ เรียกความต้องการนี้ว่า การเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง ภาษาอังกฤษตรงกับคำว่า “Self Actualization” คำนี้เป็นความต้องการสูงสุดของมนุษย์ ( สำหรับของ Roger มนุษย์ต้องการที่จะเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “fully functioning self”และ Frederick Solomon Perlsบอกว่ามนุษย์ต้องการที่จะรับรู้ตนเองอย่างมีประสิทธิภาพตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “Self-awareness”) ความต้องการขั้นสูงสุดนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อความต้องการในขั้นแรก ๆ ได้รับการตอบสนอง ถ้าพูดกันถึงเรื่องความต้องการ มาสโลว์ แบ่งความต้องการของมนุษย์ ออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้คือ
ความต้องการลำดับที่ 1 ได้แก่ ความต้องการทางด้านสรีระ เป็นความต้องการพื้นฐานที่ใช้ในการดำรงชีวิต ได้แก่ ที่อยู่อาศัย อาหาร ยารักษาโรค เครื่องนุ่นห่ม รวมไปถึงการพักผ่อน การรักษาสภาวะสมดุลภายในร่างกาย
ความต้องการลำดับที่ 2 ได้แก่ ความต้องการที่เกี่ยวกับความมั่นคง ความปลอดภัย สวัสดิการต่างๆ การคุ้มครองรวมไปถึงความช่วยเหลือจากผู้อื่น การรู้สึกว่าได้รับการปกป้อง
ความต้องการลำดับที่ 3 ได้แก่ ความต้องการที่เกี่ยวกับการเป็นเจ้าของ การรวมกลุ่มเป็นสมาคม กลุ่มร่วมงาน การมีมิตรภาพที่ดีกับคนอื่นๆ
ความต้องการลำดับที่ 4 ได้แก่ ความต้องการที่เกี่ยวกับเกียรติยศชื่อเสียง การยกย่องนับถือและการยอมรับจากสังคม
ความต้องการลำดับที่ 5 ได้แก่ ความต้องการที่เกี่ยวกับ การเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง การซื่อสัตย์ต่อตนเอง การประพฤติปฏิบัติ ในแนวทางที่เหมาะสม การกระทำสิ่งต่างๆ ตามความสามารถของตน
เมื่อใดที่บุคลิกภาพของคนได้รับการพัฒนาจนถึงขั้นที่ 5 หรือมีความต้องการเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง บุคคลจะมีลักษณะบุคลิกภาพดังนี้ คือ สามารถรับรู้ความจริงได้อย่างถูกต้อง
ยอมรับตนเอง ผู้อื่น และความเป็นไปของโลก ควบคุมความคิดและพฤติกรรมของตนเองได้ มีความสามารถในการแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง มีความอดทนและอดกลั้นต่อสถานการณ์ต่างๆได้ มีความสันโดษและต้องการอยู่ลำพังอย่างเสรี มีอารมณ์ที่มั่นคง มีมนุษย์สัมพันธ์อันดีกับบุคคลทั่วไป มีความเป็นประชาธิปไตย มีความคิดสร้างสรรค์ เข้าใจความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น มีความซาบซึ้งในคุณค่าของความดีงาม แต่การจะเกิดบุคลิกภาพที่พัฒนาดังกล่าวข้างตันได้บุคคลจะต้อง มีลำดับขั้นการพัฒนา ตั้งแต่ความต้องการทางร่างกาย ไล่ขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงขั้นสุดท้ายบางท่านการก้าวกระโดด บางท่านอาจวิ่งขึ้นวิ่งลงอยู่ในช่วงใดก็ได้ แต่ความต้องการลำดับแรก อันได้แก่ความต้องการทางร่างกาย จะมีอำนาจมากกว่าความต้องการทางสังคม และความต้องการทางสังคม ก็จะรุนแรงกว่าความต้องการความสำเร็จ ถ้าบุคคลยัง ไม่ได้รับการตอบสนองในความต้องการลำดับแรกๆ บุคคลก็จะไม่เกิดความต้องการ ที่จะเข้าใจ ตนเองอย่างแท้จริง
ในเรื่องทฤษฎีความต้องการนั้นยังมีแนวคิดของนักจิตวิทยาอีกท่าน ที่น่าสนใจคือ ทฤษฎีของเมอร์เรย์ นักจิตวิทยาท่านนี้เชื่อว่า ความต้องการของมนุษย์แบ่งออกเป็น สองประเภทคือ
ประเภทที่หนึ่ง ความต้องการขั้นปฐมภูมิ หรือความต้องการทางร่างกาย ได้แก่ ความต้องการอาหาร น้ำ ความต้องการทางเพศ ความหิว ความกระหาย ความต้องการการพักผ่อน ความต้องการขับถ่าย
ประเภทที่สอง คือความต้องการขั้นทุติยภูมิหรือความต้องการทางจิตใจ ได้แก่ ความต้องการในขั้นนี้ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ ร่างกายไม่ได้รับ ความพึงพอใจ หรือขบวนการของอินทรีย์ไม่สมดุลกัน และมนุษย์จะพัฒนาบุคลิกภาพ เพื่อให้สนองความต้องการของตนเอง ออกมาโดยจะมีลักษณะดังนี้ คือ
ความต้องการถ่อมตน เป็นบุคลิกภาพที่ยอมต่อบุคคลอื่น ยอมรับความเจ็บปวด ยอมรับคำตำหนิ ยอมแพ้ ยอมรับการถูกวิพากวิจารณ์เป็นผู้ยอมรับว่า ตนเองด้อย เป็นผู้ที่สามารถยอมรับสภาพและแก้ตัว ปรับตัวใหม่ได้
ความต้องการผลสัมฤทธิ์ เป็นความต้องการที่จะทำสิ่งที่ยากๆ ท้าทาย ต้องการเป็นผู้นำ ชอบกระทำสิ่งต่างๆที่รวดเร็ว และชอบเป็นอิสระเท่าที่จะเป็นได้ ชอบเอาชนะ อุปสรรคและชอบตั้งความหวังไว้สูง รวมไปถึงชอบเอาชนะคนอื่น อยากให้คนอื่นเห็นคุณค่าของตนเองโดยการใช้ความสามารถทางสติปัญญา
ความต้องการผูกไมตรีกับคนอื่น เป็นลักษณะของการชอบให้ความร่วมมือกับบุคคลอื่น และชอบตอบแทนบุญคุณใครดีกับเราเราก็จะลึกได้ มีลักษณะชอบทำให้คนอื่นรัก ชอบติดสอยห้อยตามไปไหนๆกับเพื่อนฝูง
ความต้องการเชิงรุก เป็นความต้องการ ที่ถ้าใครมามีทีท่าว่า จะรุกรานเรา บุคคลก็จะแสดงให้เห็นว่า ไม่ยอมกล่าวโทษคนอื่น ทำโทษคนอื่น ไม่พูด ไม่สนใจไม่ไยดี ทำทุกอย่างให้รู้ว่าโกรธ
ความต้องการเป็นอิสระ เป็นลักษณะของการหนีจากการถูกบังคับ การต่อต้านการใช้อำนาจ หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้อำนาจ ชอบทำอะไรที่สบายๆ อิสระ ไม่ผูกมัด
ความต้องการเอาชนะ เป็นพวกที่ต้องการเอาชนะความล้มเหลวโดยการหันหน้าเข้าต่อสู้ พยายามลบล้างความอับอาย โดยการกระทำพฤติกรรมซ้ำ ชอบเอาชนะความอ่อนแอโดยการเก็บความกลัวเอาไว้ พฤติกรรชอบเอาชนะเป็นพฤติกรรมที่ค่อนข้างไม่ซื่อสัตย์ บางครั้งอาจชอบแสวงหาความยากลำบากและอุปสรรคเพื่อเอาชนะ ต้องการคงไว้ซึ่งความเคารพตนเองและภูมิใจในตนเอง
ความต้องการป้องกันตัว เป็นการป้องกันตัวจากการถูกทำร้าย หรือถูกวิพากษ์วิจารณ์ เป็นการแก้ตัวจากความเป็นจริง ความล้มเหลว การเสียเกียรติโดยการป้องกันตนเอง
ความต้องการยกย่องผู้อื่น เป็นความนิยมชมชอบ สรรเสริญ ชื่นชมคนอื่นว่าดีแล้วเราก็ทำตามอย่างเขา เช่น มีเพื่อนใจเย็น พูดจาไพเราะเราก็ปรารถนาเป็นแบบเขา เพื่อต้องการให้คนอื่นยกย่องเราบ้าง
ความต้องการแสดงออกเป็นความต้องการให้ผู้อื่นเห็น ได้ยินตนเอง ชอบตื่นเต้น ชอบคำชมเชย ทำทุกอย่างให้คนพอใจพฤติกรรมตนเอง แสดงให้คนอื่นเห็น
ความต้องการมีอำนาจเหนือคนอื่น เป็นลักษณะการชอบควบคุมมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ชอบมีอิทธิพลเหนือคนอื่น มักใช้คำสั่งหรือบังคับ มักเป็นบุคคลที่พยายามเปลี่ยนแปลงความคิดของคนอื่นไม่ได้ด้วยเลห์ก็เอาด้วยกล พยายามทุกวิถีทางที่ให้คนฟังตน จนทำร้ายคนอื่นก็ไม่สนใจ ทำร้ายทางตรงไม่ได้ ก็ทำร้ายผู้อื่นทางอ้อม เดินนินทาคนโน้น คนนี้ ทั้งๆที่ตัวเองไม่ดี ใครอยู่ด้วยปวดหัว
ความต้องการหลีกเลี่ยงอันตราย เป็นความต้องการที่มนุษย์ไม่ต้องการให้ตนเองเจ็บตัว ความเจ็บป่วย ความตาย หรือแม้แต่อันตรายต่างๆ
ความต้องการหลีกเลี่ยงความอับอาย เป็นการหลีกเลี่ยงการเสียชื่อเสียง หลีกเลี่ยงจากสถานการณ์ที่ทำให้ตนเองรู้สึกตกต่ำ
ความต้องการช่วยเหลือผู้อื่น เป็นความต้องการเห็นใจทำให้คน พึงพอใจที่จะช่วยเหลือคนอื่นให้พ้นทุกข์ ช่วยคนอื่นที่อ่อนแอกว่า ช่วยคนอื่นที่อ่อนประสบการณ์และช่วยคนอื่นที่ไม่มีเกียรติเท่าเราและเราปรารถนาที่จะช่วยเขาจริงๆ และช่วยอย่างจริงใจ
สิ่งที่มนุษย์ต้องการตามแนวคิดของนักจิตวิทยา คืออะไร ความต้องการเหล่านั้นได้รับการตอบสนองแล้วหรือยัง ถ้าเราใช้แรงปรารถนาของตนเองแล้วผักดันความต้องการของตนเอง สร้างสรรค์ความต้องการนั้นๆให้เป็นพลังแห่งการสร้างสรรค์ เมื่อนั้นเราจะพบว่า ชีวิตในช่วงหนึ่งของเรามีคุณค่าทีเดียว จงหาความต้องการของตนเองให้ได้ จงรู้จักตนเองให้ดี ใครจะมารู้จักตัวเราดีเท่าตัวเราเองไม่มีอีกแล้ว และเมื่อเราเข้าใจความต้องการและความปรารถนาของตนเองเราก็จะพัฒนาบุคลิกภาพตามทิศทางที่เราต้องการได้ สำหรับเรื่องการพัฒนาบุคลิกภาพ ผู้ศึกษาควรเข้าใจเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่ององค์ประกอบที่ทำให้บุคลิกภาพ ทางสมบูรณ์นั้น มีลักษณะอย่างไร ดังจะอธิบายดังต่อไปนี้
การวิเคราะห์ตนเอง
การวิเคราะห์ตนเองมีหลักการ 4 ประการคือ การที่บุคคลจะต้องรู้จักตนเอง รู้จักความต้องการของตนเอง รู้จักที่จะยอมรับตนเอง และพัฒนาตนเองไปให้เต็มศักยภาพของตน ทั้งสี่ประการจะทำให้บุคคลสามารถวิเคราะห์ตนเองได้และเมื่อเราสามารถวิเคราะห์ตัวเราได้เราก็สามารถพัฒนาตนไปตามทิศทางที่เราต้องการ ซึ่งในแง่ของการพัฒนาบุคลิกภาพเพื่อช่วยให้การวิเคราะห์ตนสมบูรณ์เราควรสนใจศึกษาเรื่ององค์ประกอบที่ทำให้บุคลิกภาพทางกายสมบูรณ์ ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาตนในที่สุด
องค์ประกอบที่ทำให้บุคลิกภาพทางกายสมบูรณ์ ได้แก่เรื่องสุขภาพกายและสุขภาพจิต โดยสรุปคือ สถิต วงศ์สวรรค์. ( 2540 : 185-187 )
1. สุขภาพกาย เป็นองค์ประกอบพื้นฐาน จะว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด สำหรับ บุคลิกภาพทางกายที่สมบูรณ์ ก็คงไม่ผิดนัก เพื่อให้มองเห็นความสำคัญของบุคลิกภาพว่าทำให้บุคลิกภาพทางกายดีขึ้นอย่างไร จะแยกกล่าวไว้สามประการดังนี้
1.1 คนมีสุขภาพดีย่อมมีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ สามารถทำงานได้คล่องแคล่วว่องไว สามารถเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ทางสังคมได้อย่างสะดวก เป็นที่ยอมรับของบุคคลอื่นๆ โดยทั่วไปเข้ากับคนได้ง่าย มีมนุษยสัมพันธ์ดี พูดเก่งคุยสนุก เพราะมีสุขภาพดีนั่นเอง
1.2 สุขภาพที่ดีย่อมทำให้ดูมีน้ำมีนวล หน้าตาแจ่มใส มีกิริยาท่าทางรื่นเริงและเป็นสุขมี
ผลทำให้จิตใจดีด้วย จึงเป็นคนน่าคบหาสมาคมด้วย นับว่าเป็นบุคลิกภาพที่ดึงดูดความสนใจคนอื่นๆได้มาก
1.3 คนที่มีสุขภาพดีย่อมปราศจากโรคภัยไข้เจ็บซึ่งเป็นที่น่ารังเกียจ สุขภาพที่ดียังทำให้
ส่วนอื่นของร่างกายสง่างามไปด้วยเช่น ผิวพรรณ ผม เล็บย่อมมีลักษณะงาม สัดส่วนของร่างกายสมบูรณ์เป็นที่ชื่นชมแก่ผู้พบเห็น บุคคลที่ปราศจากโรคเป็นคนที่มีลาภอันประเสริฐ ( อโรคยา ปรมา ลาภา ) สุขภาพของบุคคลขึ้นอยู่กับองค์ประกอบที่สำคัญคือ
1.3.1 การบริโภคอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย จะช่วยส่งเสริมความเจริญเติบโตของคนต้อง
รับประทานให้ได้สัดส่วนและครบ 5 หมู่ อาหารดีมีประโยชน์ไม่จำเป็นต้องรสดี ราคาแพงแต่เน้นที่ธาตุอาหาร ให้ผลดีแก่สุขภาพต้องสร้างนิสัยที่ดีในการรับประทานอาหาร รับประทานเป็นเวลา ไม่รับประทานจุบจิบไม่เลือกเวลา รับประทานไม่มากหรือน้อยเกินไปไม่ตามใจปากตามใจท้อง ไม่ใช่ว่าชอบอะไรก็รับประทานแต่อย่างนั้น คนที่ชอบรับประทานขนมหวานมากๆจะทำให้อ้วน บางคนไม่ชอบผักก็ไม่แตะต้องเลย ทำให้ขาดธาตุอาหารเป็นผลร้ายต่อสุขภาพ
1.3.2 การออกกำลัง จะช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตด้วยดี มีสุขภาพสมบูรณ์ อวัยวะส่วนใดไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานานๆจะไม่เจริญเติบโตและแข็งแรงเท่าที่ควร แขนขา ถ้าไม่ได้ใช้นานๆ จะไม่เจริญเติบโตและแข็งแรงเท่าที่ควร แขนขาถ้าไม่ใช้งานนานๆก็จะลีบเล็กลง เดินไม่ได้ จึงควรออกกำลังสม่ำเสมอ ด้วยการเล่นกีฬา หรือการทำงาน กายบริหาร วิ่ง เป็นต้น แต่ต้องไม่มากนักและไม่หยุดไปนานๆ
1.3.3 การพักผ่อน ที่ดีที่สุดคือการนอนหลับ วัยรุ่นควรนอนวันละ 8 ชั่วโมง บางคนอาจมากน้อยกว่านี้ นอนเท่าไรจึงเพียงพอก็สังเกตได้ง่ายๆ ถ้าไม่ง่วงในเวลากลางวันเป็นใช้ได้ ถ้าง่วงอ่อนเพลียแสดงว่านอนพักผ่อนไม่พอ การพักผ่อนที่ดียังมีวิธีต่างๆอีกหลายวิธี เช่นดูมหรสพ หรือ ดูการแสดงต่างๆ ฟังหรือแสดงดนตรี ร้องเพลง ทำให้เกิดอารมณ์ชื่นบาน การอ่านหนังสือ ทำงานอดิเรกทำให้เกิดความสุข ความสบายใจได้มาก แต่คนที่ใช้เวลาพักผ่อนมากเกินไปจัดว่าเป็นคนไม่เสียดายเวลาสำหรับทำประโยชน์
1.3.4 ขนาดของร่างกาย คนที่อ้วนหรือผอมเกินไปควรปรึกษาแพทย์ ส่วนเตี้ยหรือสูงนั้น การบริหารร่างกายช่วยได้บ้างแต่ก็น้อยเต็มที
1.3.5 ทรวดทรงและสัดส่วนของร่างกาย ผู้ชายชอบสูงใหญ่ ไหล่กว้าง ล่ำสัน มีกล้ามเนื้องาม การเพาะกายช่วยได้ง่าย ผู้หญิงนิยมคนรูปร่างสมส่วนเพรียว ไม่อ้วน การบริหารร่างกาย การรักษาอนามัยจะช่วยให้มีเอกลักษณ์ของเอกบุรุษและสตรีได้
1.3.6 การทรงตัวและอิริยาบถ มีความสัมพันธ์กับบุคลิกภาพทางกายอยู่มาก ลักษณะการนั่ง นอน เดิน การเคลื่อนไหวของร่างกายในตัวคน บางคนก็น่าดู บางคนก็เก้งก้างน่ารำคาญบางคนนั่งงอตัว เดินก้มหน้า ต้องรีบแก้ไขฝึกหัดใหม่ในลักษณะที่ส่งเสริมให้บุคลิกภาพดี
1.3.7 คุณภาพของผิวและส่วนอื่นๆของร่างกาย คนไทยนิยมผิวขาว ละเอียดอ่อนปราศจากผดผื่น ตำหนิ ผม เล็บ ฟัน ควรรักษาให้ดี
1.3.8 ความสะอาด เป็นสิ่งที่ส่งเสริมบุคลิกภาพและสุขภาพอย่างมาก ควรรักษาและทำความสะอาดร่างกายอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการติดโรคและทำให้ตนมีคุณค่าสูงขึ้น จะต้องรักษาความสะอาดของร่างกาย เครื่องแต่งตัว อาหาร เคหสถาน
2. สุขภาพจิต สำหรับเรื่องสุขภาพจิตที่สมบูรณ์นั้น ย่อมจะส่งเสริมสุขภาพของร่างกายให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นและทำนองเดียวกัน สุขภาพของร่างกายก็ส่งเสริมให้บุคคลมีสุขภาพจิตดีขึ้นตามลำดับ ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต จะเป็นตัวส่งเสริมซึ่งกันและกัน ที่ทำให้บุคคลมีบุคลิกภาพที่สมบูรณ์ บุคคลจึงควรแสวงหาวิธีการที่จะทำให้จิตที่ดีเกิดขึ้นได้จาก ความพึงพอใจในตนเอง การมีอารมณ์สดชื่นหรือชื่นบาน ความสดชื่นแจ่มใส ความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล ความปรารถนาดีต่อผู้อื่น ความบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ประพฤติผิดทั้งต่อกฎของสังคมและหลักศาสนา มีความเมตตา กรุณา สามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสม และไม่เป็นคนที่มองโลกในแง่ร้าย จนเกินไปไม่เห็นคนอื่นเป็นศัตรูกับตน บุคคลในลักษณะดังกล่าวย่อมจะไม่เสียสุขภาพจิต หรือมีบุคลิกภาพสมบูรณ์ทั้งกายและใจนั่นเอง

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 14

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 14
เรื่อง หลักสูตรการพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษา

1. การขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษารอบสอง ได้มุ่งเน้นด้านใด
ก. ด้านคุณภาพ ด้านโอกาส และด้านรักสามัคคี
ข. ด้านคุณภาพ ด้านรักสามัคคี และด้านจิตสาธารณะ
ค. ด้านคุณภาพ ด้านโอกาส และด้านการมีส่วนร่วม
ง. ด้านคุณธรรม ด้านความรู้ และด้านมีความสุข
2. ข้อใดไม่ใช่เนื้อหาสาระโครงการพัฒนาผู้บริหาร สถานศึกษาทั่วประเทศ
ก. นโยบายและจุดเน้นการปฏิรูปการศึกษารอบสอง
ข. การพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา
ค. วิชาเลือกตามความถนัด ความสามารถ ความสนใจ
ง. การสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง
3. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปการศึกษา
ก. ยึดโรงเรียนเป็นศูนย์กลางการจัดการศึกษาให้เกิดประโยชน์กับผู้เรียนเป็นสำคัญ
ข. บุคคลและองค์กรทุกส่วนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
ค. กระจายอำนาจด้านการบริหารจัดการศึกษา
ง. ให้สถานศึกษารับผิดชอบและตรวจสอบโดยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
4. หน่วยงานใดรับผิดชอบการติดตาม ประเมินผลการปฏิรูปการศึกษา
ก. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ข. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
ค. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ง. สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
5. ข้อใดคือจุดมุ่งหมายของการปฏิรูปการศึกษารอบสอง
ก. คนไทยมีจิตสำนึกในความรักชาติ
ข. เพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
ค. คนไทยได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ
ง. ถูกทุกข้อ
6. “เด็กชายขอบตะเข็บชายแดน” เกี่ยวข้องกับการนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เรื่องใด
ก. โอกาส ข. คุณภาพ
ค. การมีส่วนร่วม ง. เรียนฟรี
7. ”เน้นการกระจายอำนาจและหลักธรรมาภิบาล” เป็นการสร้างคุณภาพด้านใด
ก. ด้านครู ข. ด้านแหล่งเรียนรู้
ค. ด้านสถานศึกษา ง. ด้านการบริหารจัดการ
8. ปัจจุบันสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีทั้งหมดกี่แห่ง
ก. 31,294 แห่ง ข. 31,924 แห่ง
ค. 31,492 แห่ง ง. 31,249 แห่ง
9. ใครเป็นบุคคลสำคัญที่สุดที่จะนำนโยบายสู่การปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม
ก. ผู้บริหารการศึกษา ข. ผู้บริหารสถานศึกษา
ค. ครูและบุคลากรทางการศึกษา ง. ถูกทุกข้อ
10. ผู้บริหารสถานศึกษาประเภทที่ 1 ในหลักสูตรผู้นำการเปลี่ยนแปลง เพื่อรองรับการกระจายอำนาจ เมื่อปี 2550-2551 มีจำนวนกี่คน
ก. 2,404 คน ข. 2,440 คน
ค. 2,044 คน ง. 2,144 คน

หมายเหตุ
**ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นการรวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ กราบขออภัยหากการอ้างอิงแสดงไว้ไม่ทั่วถึง...ขอทุกท่านอธิษฐานจิตให้ผลกุศลคุณงามความดีต่างๆ บังเกิดผลแด่ท่านผู้เป็นเจ้าของต้นฉบับ..และ..การนำมาแผยแพร่นี้..เป็นการเอื้อเฝื่อเกิ้อกูลกันตามแบบอย่างธรรมเนียมไทย...ขอทุกท่านใช้ข้อมูลเหล่านี้..เพื่อประโยชน์ท่าน..ประโยชน์สังคมให้เต็มที่เถิด**

***ถ้าข้อมูลส่วนใดเก่า...ล้าสมัยก็อย่าไปใส่ใจนะครับ....มีความคิดเห็นใดๆ...โปรดแสดงความคิดเห็นของท่านกลับให้ทราบด้วย...ขอขอพระคุณ
***************************************ครูปู-ปุถุชน

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 13

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 13
เรื่อง ความรอบรู้

1. สควค. คือข้อใด
ก. สำนักงานส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ข. โครงการส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
ค. สำนักงานส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
ง. โครงการส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
2. ประธานสภาการศึกษา คือใคร
ก. นายองค์กร อมรศิรินันท์ ข. ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน
ค. ดร.ธงทอง จันทรางสุ ง. นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฐ์
3. ประธานกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ คือใคร
ก. นายธนรัตน์ สมคะเน ข. ดร.ธงทอง จันทรางสุ
ค. ดร.ดิเรก พรสีมา ง. นายพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา
4. ประธานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา คือใคร
ก. นายกรัฐมนตรี ข. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ค. ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ง. เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
5. ปัจจุบันประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือใคร
ก. นายธนรัตน์ สมคะเน ข. ดร.ธงทอง จันทรางสุ
ค. ดร.ดิเรก พรสีมา ง. นายพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา
6. เลขาธิการสภาการศึกษา คือใคร
ก. นายองฃ์กร อมรศิรินันท์ ข. ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน
ค. ดร.ธงทอง จันทรางสุ ง. นายธนรัตน์ สมคะเน
7. ประธานกรรมการคุรุสภา คือใคร
ก. นายธนรัตน์ สมคะเน ข. ดร.ธงทอง จันทรางสุ
ค. ดร.ดิเรก พรสีมา ง. นายพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา
8. ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ คือใคร
ก. นายองค์กร อมรศิรินันท์ ข. ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน
ค. ดร.ธงทอง จันทรางสุ ง. นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฐ์
9. ข้อใดคือเว็บไซด์สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากาญจนบุรี เขต 3
ก. http://www.kri3.go.th ข. http://www.kri3.com
ค. http://www.kri3.net ง. http://www.kri3.ru.th
10. ประธานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา คือใคร
ก. ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน ข. นายองค์กร อมรศิรินันท์
ค. ดร.ธงทอง จันทรางสุ ง. นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฐ์

หมายเหตุ
**ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นการรวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ กราบขออภัยหากการอ้างอิงแสดงไว้ไม่ทั่วถึง...ขอทุกท่านอธิษฐานจิตให้ผลกุศลคุณงามความดีต่างๆ บังเกิดผลแด่ท่านผู้เป็นเจ้าของต้นฉบับ..และ..การนำมาแผยแพร่นี้..เป็นการเอื้อเฝื่อเกิ้อกูลกันตามแบบอย่างธรรมเนียมไทย...ขอทุกท่านใช้ข้อมูลเหล่านี้..เพื่อประโยชน์ท่าน..ประโยชน์สังคมให้เต็มที่เถิด**

***ถ้าข้อมูลส่วนใดเก่า...ล้าสมัยก็อย่าไปใส่ใจนะครับ....มีความคิดเห็นใดๆ...โปรดแสดงความคิดเห็นของท่านกลับให้ทราบด้วย...ขอขอพระคุณ
***************************************ครูปู-ปุถุชน

วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 12

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 12
เรื่อง การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง

1. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับ “การอ่านเป็นวาระแห่งชาติ”
ก. ปี 2553-2561 เป็นทศวรรษแห่งการอ่านของประเทศ
ข. วันที่ 2 เมษายนเป็นวันรักการอ่าน
ค.คณะกรรมการส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการอ่านเป็นรูปธรรม
ง. เกี่ยวข้องกับ การอ่านเป็นวาระแห่งชาติ ทุกข้อ
2. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปการศึกษาไทยในทศวรรษที่สองมากที่สุด
ก. คุณภาพและมาตรฐานการศึกษา
ข. ดึงดูดคนเก่งและมีใจรักมาเป็นครูคณาจารย์ได้อย่างยั่งยืน
ค. เพิ่มโอกาสการศึกษาและเรียนรู้อย่างทั่วถึง
ง. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้อง
3. ข้อใดไม่ใช่กรอบแนวทางการปฏิรูปการศึกษาและเรียนรู้อย่างเป็นระบบ
ก. พัฒนาคุณภาพคนไทยยุคใหม่มีนิสัยใฝ่เรียนรู้ แสวงหาความรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
ข. พัฒนาคุณภาพครูยุคใหม่ ที่เป็นผู้เอื้ออำนวยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
ค. พัฒนาคุณภาพผู้บริหารยุคใหม่ ที่เป็นนักบริหารมืออาชีพ มีภาวะผู้นำ
ง. พัฒนาคุณภาพสถานศึกษาและแหล่งเรียนรู้ยุคใหม่ ให้สามารถเป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีคุณภาพ
4. ใครเป็นประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฎิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง
ก. นายกรัฐมนตรี ข. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ค. ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ง. เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
5. ใครเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง
ก. นายกรัฐมนตรี ข. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ค. ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ง. เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
6. ใครทำหน้าที่เลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาทั้งสองคณะ
ก. สทศ. ข. สพฐ.
ค. สกศ. ง. สกอ.
7. คณะกรรมการการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาทั้งสองคณะมีกรอบเวลาในการดำเนินงานกี่ปี
ก. 5 ปี ข. 6 ปี
ค. 8 ปี ง. 10 ปี
8. “ปรับบทบาทสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาอัธยาศัย เพื่อเติมเต็มระบบการศึกษาให้รองรับการเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้อย่างแท้จริง” คือใดเกี่ยวข้องมากที่สุด
ก. สำนักงานการศึกษาตลอดชีวิต ข. สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบ
ค. สำนักงานการศึกษาอัธยาศัย ง. ถูกทุกข้อ
9. หน่วยงานใดมีหน้าที่ขับเคลื่อนการกระจายอำนาจสู่เขตพื้นที่และสถานศึกษา ตามกรอบแนวการปฏิรูปการศึกษา
ก. สทศ. ข. สพฐ.
ค. สกศ. ง. สกอ.
10. ข้อใดคือวิสัยทัศน์ของการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง
ก. คนไทยได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ
ข. มีความศรัทธาเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยรังเกียจการซื้อเสียง
ค. พัฒนากำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการ
ง. พัฒนาให้เป็นคนเก่ง ดี มีความสุข มีความภูมิใจในความเป็นไทย

หมายเหตุ
**ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นการรวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ กราบขออภัยหากการอ้างอิงแสดงไว้ไม่ทั่วถึง...ขอทุกท่านอธิษฐานจิตให้ผลกุศลคุณงามความดีต่างๆ บังเกิดผลแด่ท่านผู้เป็นเจ้าของต้นฉบับ..และ..การนำมาแผยแพร่นี้..เป็นการเอื้อเฝื่อเกิ้อกูลกันตามแบบอย่างธรรมเนียมไทย...ขอทุกท่านใช้ข้อมูลเหล่านี้..เพื่อประโยชน์ท่าน..ประโยชน์สังคมให้เต็มที่เถิด**

***ถ้าข้อมูลส่วนใดเก่า...ล้าสมัยก็อย่าไปใส่ใจนะครับ....มีความคิดเห็นใดๆ...โปรดแสดงความคิดเห็นของท่านกลับให้ทราบด้วย...ขอขอพระคุณ
***************************************ครูปู-ปุถุชน

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 12

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 12
เรื่อง การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง

1. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับ “การอ่านเป็นวาระแห่งชาติ”
ก. ปี 2553-2561 เป็นทศวรรษแห่งการอ่านของประเทศ
ข. วันที่ 2 เมษายนเป็นวันรักการอ่าน
ค.คณะกรรมการส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการอ่านเป็นรูปธรรม
ง. เกี่ยวข้องกับ การอ่านเป็นวาระแห่งชาติ ทุกข้อ
2. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปการศึกษาไทยในทศวรรษที่สองมากที่สุด
ก. คุณภาพและมาตรฐานการศึกษา
ข. ดึงดูดคนเก่งและมีใจรักมาเป็นครูคณาจารย์ได้อย่างยั่งยืน
ค. เพิ่มโอกาสการศึกษาและเรียนรู้อย่างทั่วถึง
ง. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้อง
3. ข้อใดไม่ใช่กรอบแนวทางการปฏิรูปการศึกษาและเรียนรู้อย่างเป็นระบบ
ก. พัฒนาคุณภาพคนไทยยุคใหม่มีนิสัยใฝ่เรียนรู้ แสวงหาความรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
ข. พัฒนาคุณภาพครูยุคใหม่ ที่เป็นผู้เอื้ออำนวยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
ค. พัฒนาคุณภาพผู้บริหารยุคใหม่ ที่เป็นนักบริหารมืออาชีพ มีภาวะผู้นำ
ง. พัฒนาคุณภาพสถานศึกษาและแหล่งเรียนรู้ยุคใหม่ ให้สามารถเป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีคุณภาพ
4. ใครเป็นประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฎิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง
ก. นายกรัฐมนตรี ข. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ค. ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ง. เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
5. ใครเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง
ก. นายกรัฐมนตรี ข. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ค. ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ง. เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
6. ใครทำหน้าที่เลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาทั้งสองคณะ
ก. สทศ. ข. สพฐ.
ค. สกศ. ง. สกอ.
7. คณะกรรมการการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาทั้งสองคณะมีกรอบเวลาในการดำเนินงานกี่ปี
ก. 5 ปี ข. 6 ปี
ค. 8 ปี ง. 10 ปี
8. “ปรับบทบาทสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาอัธยาศัย เพื่อเติมเต็มระบบการศึกษาให้รองรับการเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้อย่างแท้จริง” คือใดเกี่ยวข้องมากที่สุด
ก. สำนักงานการศึกษาตลอดชีวิต ข. สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบ
ค. สำนักงานการศึกษาอัธยาศัย ง. ถูกทุกข้อ
9. หน่วยงานใดมีหน้าที่ขับเคลื่อนการกระจายอำนาจสู่เขตพื้นที่และสถานศึกษา ตามกรอบแนวการปฏิรูปการศึกษา
ก. สทศ. ข. สพฐ.
ค. สกศ. ง. สกอ.
10. ข้อใดคือวิสัยทัศน์ของการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง
ก. คนไทยได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ
ข. มีความศรัทธาเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยรังเกียจการซื้อเสียง
ค. พัฒนากำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการ
ง. พัฒนาให้เป็นคนเก่ง ดี มีความสุข มีความภูมิใจในความเป็นไทย

หมายเหตุ
**ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นการรวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ กราบขออภัยหากการอ้างอิงแสดงไว้ไม่ทั่วถึง...ขอทุกท่านอธิษฐานจิตให้ผลกุศลคุณงามความดีต่างๆ บังเกิดผลแด่ท่านผู้เป็นเจ้าของต้นฉบับ..และ..การนำมาแผยแพร่นี้..เป็นการเอื้อเฝื่อเกิ้อกูลกันตามแบบอย่างธรรมเนียมไทย...ขอทุกท่านใช้ข้อมูลเหล่านี้..เพื่อประโยชน์ท่าน..ประโยชน์สังคมให้เต็มที่เถิด**

***ถ้าข้อมูลส่วนใดเก่า...ล้าสมัยก็อย่าไปใส่ใจนะครับ....มีความคิดเห็นใดๆ...โปรดแสดงความคิดเห็นของท่านกลับให้ทราบด้วย...ขอขอพระคุณ
***************************************ครูปู-ปุถุชน

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 11

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 11
เรื่อง นโยบายไทยเข้มแข็ง

1. ข้อใดไม่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการ “ไทยเข้มแข็ง”
ก. โครงการเรียนฟรี 15 ปีอย่างมีคุณภาพ
ข. โครงการกระทรวงศึกษาธิการติวเข้มเติมเต็มฃวามรู้
ค. โครงการพอเพียง
ง. โครงการห้องสมุด 3 ดี
2 ข้อใดเกี่ยวข้องกับโครงการโรงเรียนดี 3 ระดับ
ก. โครงการดีระดับชาติ 2,500 โรงเรียน , ระดับอำเภอ 2,500 โรงเรียน,และระดับตำบล 5,000 โรงเรียน
ข. โครงการดีระดับชาติ 500 โรงเรียน , ระดับอำเภอ 2,500 โรงเรียน,ระดับตำบล 7,000 โรงเรียน
ค. โครงการดีระดับชาติ 2,500 โรงเรียน , ระดับอำเภอ 500 โรงเรียน,ระดับตำบล 7,000 โรงเรียน
ง. โครงการดีระดับชาติ 500 โรงเรียน , ระดับอำเภอ 2,500 โรงเรียน,ระดับตำบล 5,000 โรงเรียน
3. โครงการในข้อใดเกี่ยวข้องกับโครงการยกระดับคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็กที่มีผลสัมฤทธิ์การเรียนต่ำกว่ามาตรฐาน
ก. จัดการเรียนการสอนผ่านดาวเทียม
ข. ติวเข้มเติมเต็มความรู้
ค. ยกระดับคุณภาพในโรงเรียนพื้นที่ทุรกันดาร
ง. เครื่องข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
4. ข้อใด ไม่เกี่ยวข้องกับโครงการห้องสมุด 3 ดี
ก. หนังสือดี บรรยากาศดี บรรณารักษ์ดี
ข. จัดบรรณารักษ์ให้ทุกโรงเรียน
ค. สร้างห้องสมุด 3 ดี สำหรับประชาชนในช่วง 5 ปี
ง. ห้องสมุด 3 ดีสัญจร
5. โรงเรียนเด็กพิการ , เด็กด้อยโอกาส และโรงเรียนในพระราชดำริ เกี่ยวข้องกับโครงการใดมากที่สุด
ก. โครงการเรียนฟรี 15 ปีอย่างมีคุณภาพ
ข. โครงการกระทรวงศึกษาธิการติวเข้มเติมเต็มความรู้
ค. โครงการยกระดับคุณภาพของโรงเรียนในพื้นที่ทุรกันดาร
ง. โครงการโรงเรียนดี 3 ระดับ
6. โครงการคอมพิวเตอร์ ข้อใดไม่ถูกต้อง
ก. ปัจจุบันเฉลี่ย 1 เครื่อง : 40 คน
ข. ปรับสัดส่วน 1 คน : 10 เครื่อง
ค. จัดให้โรงเรียนทั่วประเทศอย่างน้อย 17,328 โรง
ง. ถูกทุกข้อ
7. โครงการ UniNet ตรงกับข้อใด
ก. โครงการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง อย่างน้อย 50 กิกะบิต
ข. โครงการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง อย่างน้อย 100 กิกะบิต
ค. โครงการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง อย่างน้อย 10 กิกะบิต
ง. โครงการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง อย่างน้อย 5 กิกะบิต
8. โครงการอบรมพัฒนายกระดับคุณภาพและศักยภาพของครูทั่วประเทศ 500,000 คนจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นในปีใด
ก. 2552 ข. 2553
ค. 2554 ง. 2555
9. ”กระทรวงศึกษาธิการตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2557จะดึงนักศึกษาต่างชาติมาเรียนในประเทศไทยอย่างน้อย 100,000 คน ตรงกับโครงการใดมากที่สุด
ก. โครงการเรียนฟรี 15 ปีอย่างมีคุณภาพ
ข. โครงการกระทรวงศึกษาธิการติวเข้มเติมเต็มความรู้
ค. โครงการศูนย์กลางการศึกษาในภูมิภาค
ง. โครงการมหาวิทยาลัยวิจัย
10. เป้าหมายสำคัญของแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ตรงกับข้อใด
ก. ยกระดับคุณภาพทางการศึกษา มาตรฐานและมุ่งเน้นในเรื่องของการขยายโอกาสให้กับเยาวชนไทยและคนไทยทั้งประเทศ
ข. ยกระดับคุณภาพทางการศึกษาและมุ่งเน้นในเรื่องของการขยายโอกาสให้กับเยาวชนไทยและคนไทยทั้งประเทศ
ค. ยกระดับคุณภาพทางการศึกษาและมุ่งเน้นในเรื่องของคุณธรรมให้กับเยาวชนไทยและคนไทยทั้งประเทศ
ง. ยกระดับคุณภาพทางการศึกษาและมุ่งเน้นในเรื่องของการขยายโอกาสให้กับเยาวชนไทยผู้บริหารและครูทั้งประเทศ

หมายเหตุ
**ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นการรวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ กราบขออภัยหากการอ้างอิงแสดงไว้ไม่ทั่วถึง...ขอทุกท่านอธิษฐานจิตให้ผลกุศลคุณงามความดีต่างๆ บังเกิดผลแด่ท่านผู้เป็นเจ้าของต้นฉบับ..และ..การนำมาแผยแพร่นี้..เป็นการเอื้อเฝื่อเกิ้อกูลกันตามแบบอย่างธรรมเนียมไทย...ขอทุกท่านใช้ข้อมูลเหล่านี้..เพื่อประโยชน์ท่าน..ประโยชน์สังคมให้เต็มที่เถิด**

***ถ้าข้อมูลส่วนใดเก่า...ล้าสมัยก็อย่าไปใส่ใจนะครับ....มีความคิดเห็นใดๆ...โปรดแสดงความคิดเห็นของท่านกลับให้ทราบด้วย...ขอขอพระคุณ
***************************************ครูปู-ปุถุชน

วันพุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 10

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 10
เรื่อง พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖

1. ข้อใดคือความหมายของคำว่า “เด็ก” ตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้
ก. อายุต่ำกว่า 18 ปี ข. อายุ 16 ปี สมรสแล้ว
ค. อายุต่ำกว่า 20 ปี ง. อายุต่ำกว่า 25 ปี
2. เด็กกำพร้าหมายถึง
ก. เด็กที่บิดามารดาเสียชีวิต
ข. เด็กที่ไม่ปรากฏบิดา มารดา หรือไม่สามารถสืบหาบิดามารดาได้
ค. เด็กที่อาศัยอยู่กับผู้อื่นซึ่งมิใช่ญาติ
ง. ก และ ข ถูก
3. สถานรับเลี้ยงเด็กหมายถึง
ก. สถานที่รับเลี้ยงเด็กและพัฒนาเด็กที่มีอายุไม่เกิน 6 ปีบริบูรณ์
ข. สถานที่รับเลี้ยงเด็กและพัฒนาเด็กที่มีอายุไม่เกิน 8 ปีบริบูรณ์
ค. สถานที่รับเลี้ยงเด็กและพัฒนาเด็กที่มีอายุไม่เกิน 10 ปีบริบูรณ์
ง. สถานที่รับเลี้ยงเด็กและพัฒนาเด็กที่มีอายุไม่เกิน 18 ปีบริบูรณ์
4. ใครเป็นผู้รักษาการตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546
ก. รมว.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ข. รมว.มหาดไทย
ค. รมว.ยุติธรรม
ง. ถูกทุกข้อ
5. ใครเป็นประธานกรรมการการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ
ก. นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย
ข. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นฃงของมนุษย์
ค. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ง. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
6. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติต้องมีสตรีจำนวนเท่าไร
ก. ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ข. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3
ค. ไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ง. ไม่น้อยกว่า 3 ใน 5
7. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละกี่ปี
ก. 5 ปี ข. 4 ปี
ค. 3 ปี ง. 2 ปี
8. พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ซึ่งให้ไว้ ณ วันที่ 24 กันยายน 2546 มีผลบังคับใช้ตามข้อใด
ก. พ.ศ.2546 ข. พ.ศ.2547
ค. พ.ศ.2548 ง. พ.ศ.2549
9. ใครมีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก
ก. ปลัดกระทรวง ข. ผู้ว่าราชการจังหวัด
ค. ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ง. ถูกทุกข้อ
10. กองทุนคุ้มครองเด็ก ใครเป็นประธานกรรมการการบริหารกองทุน
ก. ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
ข. ปลัดกระทรวงมหาดไทย
ค. ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ง. นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
**ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นการรวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ กราบขออภัยหากการอ้างอิงแสดงไว้ไม่ทั่วถึง...ขอทุกท่านอธิษฐานจิตให้ผลกุศลคุณงามความดีต่างๆ บังเกิดผลแด่ท่านผู้เป็นเจ้าของต้นฉบับ..และ..การนำมาแผยแพร่นี้..เป็นการเอื้อเฝื่อเกิ้อกูลกันตามแบบอย่างธรรมเนียมไทย...ขอทุกท่านใช้ข้อมูลเหล่านี้..เพื่อประโยชน์ท่าน..ประโยชน์สังคมให้เต็มที่เถิด**

***ถ้าข้อมูลส่วนใดเก่า...ล้าสมัยก็อย่าไปใส่ใจนะครับ....มีความคิดเห็นใดๆ...โปรดแสดงความคิดเห็นของท่านกลับให้ทราบด้วย...ขอขอพระคุณ
***************************************ครูปู-ปุถุชน

วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 9

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 9
เรื่อง พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา

1. ก.ค.ศ. ย่อมาจากคำว่าอะไร
ก. กรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ข. คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ค. กรรมการบริหารงานบุคคลข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ง. คณะกรรมการบริหารงานบุคคลข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
2. ก.ค.ศ. มีจำนวนเท่าใด
ก. 15 คน ข. 17 คน
ค. 21 คน ง. 28 คน
3. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน ก.ค.ศ. มีจำนวนเท่าใด
ก. 3 คน ข. 5 คน
ค. 7 คน ง. 9 คน
4. ผู้แทนข้าราชการครูใน ก.ค.ศ. มีจำนวนเท่าใด
ก. 4 คน ข. 5 คน
ค. 6 คน ง. 7 คน
5. คุณสมบัติของกรรมการผู้แทนผู้บริหารสถานศึกษาใน ก.ค.ศ. คือ
ก. มีใบประกอบวิชาชีพ
ข. มีประสบการณ์ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาไม่น้อยกว่า 5 ปี
ค. เป็นผู้ได้รับการยอมรับในเรื่องของความซื่อสัตย์ สุจริต ยุติธรรม
ง. ถูกทุกข้อ
6. อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา ย่อมาจากคำว่าอะไร
ก. อนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเขตพื้นที่การศึกษา
ข. คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเขตพื้นที่การศึกษา
ค. อนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาประจำเขตพื้นที่การศึกษา
ง. คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาประจำเขตพื้นที่การศึกษา
7. อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา มีกี่คน
ก. 7 คน ข. 8 คน
ค. 9 คน ง. 12 คน
8. ผู้มีอำนาจหน้าที่พิจารณาเสนอความดีความชอบของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในสถานศึกษาคือ
ก. ผู้บริหารสถานศึกษา
ข. คณะกรรมการสถานศึกษา
ค. ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ง. อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา
9. ใครเป็นผู้กำหนดเวลาการทำงาน วันหยุดราชการตามประเพณี วันหยุดราชการประจำปี และการลาหยุดของ
ข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา
ก. สำนักนายกรัฐมนตรี ข. คณะรัฐมนตรี
ค. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ง. ก.ค.ศ.
10. ใครเป็นผู้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งตำแหน่งที่มีวิทยะฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ
ก. นายกรัฐมนตรี ข. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ค. ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ง. อธิบดีกรมเจ้าสังกัด


หมายเหตุ
**ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นการรวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ กราบขออภัยหากการอ้างอิงแสดงไว้ไม่ทั่วถึง...ขอทุกท่านอธิษฐานจิตให้ผลกุศลคุณงามความดีต่างๆ บังเกิดผลแด่ท่านผู้เป็นเจ้าของต้นฉบับ..และ..การนำมาแผยแพร่นี้..เป็นการเอื้อเฝื่อเกิ้อกูลกันตามแบบอย่างธรรมเนียมไทย...ขอทุกท่านใช้ข้อมูลเหล่านี้..เพื่อประโยชน์ท่าน..ประโยชน์สังคมให้เต็มที่เถิด**

***ถ้าข้อมูลส่วนใดเก่า...ล้าสมัยก็อย่าไปใส่ใจนะครับ....มีความคิดเห็นใดๆ...โปรดแสดงความคิดเห็นของท่านกลับให้ทราบด้วย...ขอขอพระคุณ
***************************************ครูปู-ปุถุชน

วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 8

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 8
เรื่อง ความรอบรู้ทั่วไป - ๑

1. CD-ROM เป็นส่วนประกอบใดของฃอมพิวเตอร์
ก. หน่วยความจำ ข. หน่วยรับข้อมูล
ค. หน่วยแสดงผล ง. หน่วยประมวลผลกลาง
2 ระบบเครือข่ายใดที่ครอบคลุมพื้นที่น้อยที่สุด
ก. MAN ข. LAN
ค. WAN ง. International Network
3. ระบบ EIS เป็นส่วนหนึ่งของระบบใด
ก. DSS ข. ESS
ค. OIS ง. MRS
4. SECI คืออะไร
ก. เกลียวความรู้ ข. การเลือกที่จะเรียนรู้
ค. ระบบการจัดการความรู้ ง. ศูนย์พัฒนาอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการเรียนรู้
5. KMC คืออะไร
ก. ศูนย์การเรียนรู้ ข. ศูนย์จัดการเรียนรู้
ค. ศูนย์บริการสารสนเทศ ง. ศูนย์บริการสารสนเทศเฉพาะด้าน
6. แนวทางพระราชทาน “เข้าใจ เขาถึง พัฒนา” เกี่ยวข้องกับข้อใด มากที่สุด
ก. การพัฒนาชุมชน ข. การให้บริการประชาชน
ค. การปราบปรามการทุจริต ง. การจัดทำแผนแม่บทชุมชน
7. ข้อใดเป็นความสำคัญลำดับแรกด้านการเมือง
ก. ทำรัฐธรรมนูญฉบับถาวร
ข. แผนแม่บทพัฒนาการเมือง
ค. มาตรการป้องกันปราบปรามทุจริต
ง. ส่งเสริมบทบาทภาคเอกชนและประชาชน
8. ปัญหาอันเป็นวิกฤติรุนแรงที่ต้องแก้ไขเร่งด่วน คือข้อใด
ก. รู้รักสามัคคี ข. เศรษฐกิจพอเพียง
ค. ความสงบเรียบร้อย ง. การปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างประเทศ
9. วันครูโลก ตรงกับวันใด
ก. 5 ตุลาคม ข. 6 ตุลาคม
ค. 3 ตุลาคม ง. 2 ตุลาคม
10. มาตรฐานการปฏิบัติงาน มีกี่มาตรฐาน
ก. 9 มาตรฐาน ข. 12 มาตรฐาน
ค. 14 มาตรฐาน ง. 18 มาตรฐาน


หมายเหตุ
**ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นการรวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ กราบขออภัยหากการอ้างอิงแสดงไว้ไม่ทั่วถึง...ขอทุกท่านอธิษฐานจิตให้ผลกุศลคุณงามความดีต่างๆ บังเกิดผลแด่ท่านผู้เป็นเจ้าของต้นฉบับ..และ..การนำมาแผยแพร่นี้..เป็นการเอื้อเฝื่อเกิ้อกูลกันตามแบบอย่างธรรมเนียมไทย...ขอทุกท่านใช้ข้อมูลเหล่านี้..เพื่อประโยชน์ท่าน..ประโยชน์สังคมให้เต็มที่เถิด**

***ถ้าข้อมูลส่วนใดเก่า...ล้าสมัยก็อย่าไปใส่ใจนะครับ....มีความคิดเห็นใดๆ...โปรดแสดงความคิดเห็นของท่านกลับให้ทราบด้วย...ขอขอพระคุณ
***************************************ครูปู-ปุถุชน

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 7

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 7
เรื่อง พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และ
วิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546

1. ข้อใดคือเป้าหมายของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
ก. เกิดประโยชน์สุขของประชาชน
ข. เกิดผลสัมฤทธิ์ตอภารกิจของรัฐ
ค. ไม่มีขั้นตอนการปฏิบัติงานเกินความจำเป็น
ง. ถูกทุกข้อ
2 ศูนย์กลางการบริหารราชการเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ได้แก่
ก. ส่วนราชการ ข. รัฐบาล
ค. ประชาชน ง. ถูกทุกข้อ
3. หน่วยงานใดมีหน้าที่กำหนดแนวทางโดยทั่วไปให้ส่วนราชการปฏิบัติราชการเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
ก. ก.พ. ข. ก.พ.ร.
ค. สำนักนายกรัฐมนตรี ง. สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
4. ข้อใด ไม่ได้กำหนดไว้ในแผนปฏิบัติราชการของส่วนราชการ
ก. เป้าหมายของภารกิจ ข. ผลสัมฤทธิ์ภารกิจ
ค. ตัวชี้วัดความสำเร็จของภารกิจ ง. หลักการและเหตุผล
5. หน่วยงานใดมีหน้าที่จัดทำแผนบริหารราชการแผ่นดิน
ก. สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี , สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ข. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ค. สำนักงบประมาณ
ง. ถูกทุกข้อ
6. คณะรัฐมนตรีต้องพิจารณาแผนบริหารราชการแผ่นดินให้แล้วเสร็จภายในกี่วัน
ก. 60 วัน นับจากจัดตั้งรัฐบาลเสร็จ
ข. 90 วัน นับจากวันที่ ครม.แถลงนโยบายต่อรัฐสภา
ค. 90 วัน นับจากวันได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง ครม.
ง. 90 วัน นับจากวันเลือกตั้ง
7. แผนบริหารราชการแผ่นดินเป็นแผนกี่ปี
ก. 2 ปี ข. 4 ปี
ค. 5 ปี ง. 10 ปี
8. ใครเป็นผู้ให้ความเห็นชอบแผนปฏิบัติราชการของส่วนราชการ
ก. ครม. ข. นายกรัฐมนตรี
ค. รัฐมนตรี ง. ก.พ.ร.
9. การร้องเรียนหรือเสนอแนะ เสนอผ่านหน่วยงานใดได้บ้าง
ก. กระทรวงมหาดไทย ข. ก.พ.ร.
ค. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ง. ถูกทุกข้อ
10. เมื่อส่วนราชการได้รับการร้องเรียนต้องชี้แจงให้ผู้ร้องเรียนทราบภายในกี่วัน
ก. 10 วัน ข. 15 วัน
8. 20 วัน ง. 30 วัน

หมายเหตุ
**ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นการรวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ กราบขออภัยหากการอ้างอิงแสดงไว้ไม่ทั่วถึง...ขอทุกท่านอธิษฐานจิตให้ผลกุศลคุณงามความดีต่างๆ บังเกิดผลแด่ท่านผู้เป็นเจ้าของต้นฉบับ..และ..การนำมาแผยแพร่นี้..เป็นการเอื้อเฝื่อเกิ้อกูลกันตามแบบอย่างธรรมเนียมไทย...ขอทุกท่านใช้ข้อมูลเหล่านี้..เพื่อประโยชน์ท่าน..ประโยชน์สังคมให้เต็มที่เถิด**

***ถ้าข้อมูลส่วนใดเก่า...ล้าสมัยก็อย่าไปใส่ใจนะครับ....มีความคิดเห็นใดๆ...โปรดแสดงความคิดเห็นของท่านกลับให้ทราบด้วย...ขอขอพระคุณ
***************************************ครูปู-ปุถุชน

วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เทคนิคการสร้างภาพลักษณ์ของตนเอง (Self Image)

Self Image
เทคนิคการสร้างภาพลักษณ์ของตนเอง (Self Image) ให้ประทับใจ
อาภรณ์ ภู่วิทยพันธุ์
(p_arporn11@hotmail.com)
คุณเข้าใจคำว่าภาพลักษณ์ของตนเอง (Self Image) มากน้อยแค่ไหน และคุณคิดว่าภาพลักษณ์ของตนเองมีความสำคัญบ้างหรือไม่ ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจความหมายของคำว่าภาพลักษณ์กันก่อนดีกว่า
ภาพลักษณ์ของตนเอง (Self Image) หมายถึง บุคลิกลักษณะ ความสามารถหรือสิ่งที่คุณเป็นและแสดงออกมา ซึ่งจะส่งผลต่อการรับรู้ของผู้พบเห็นเกี่ยวกับลักษณะ บุคลิกภาพ และศักยภาพของตัวคุณ
ภาพลักษณ์ของตนเองสำคัญไฉน…หลายคนอาจคิดไม่ถึงว่าภาพลักษณ์ของตนเองเป็นสิ่งสำคัญมาก จนทำให้ไม่ใส่ใจและไม่ดูแลตนเอง โดยไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองหรือคิดอย่างไร คุณรู้ไหมว่าภาพลักษณ์ที่ดูไม่ดีจะส่งผลต่อการติดต่อประสานงาน การขอความร่วมมือและความช่วยเหลือต่าง ๆ จากบุคคลอื่น การที่คุณมีภาพลักษณ์และการแสดงออกที่ดี จะเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดใจให้ผู้ที่พบเห็น หรือคนที่ติดต่อด้วยอยากเข้าใกล้ อยากให้ความร่วมมือและความช่วยเหลือกับคุณเอง ในที่สุดจะนำคุณไปสู่ความสำเร็จในหน้าที่การงานที่คุณได้รับการยอมรับ การสนับสนุน ความร่วมมือช่วยเหลือจากทั้งลูกค้า หัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง และคนรอบข้างของตัวคุณเอง
ดังนั้นการสร้างภาพลักษณ์ของตัวคุณจึงเป็นที่สิ่งสำคัญ แบบว่าภาพลักษณ์ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ทั้งนี้การทำให้ภาพลักษณ์ของตนเองดูดีและเป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็นนั้นไม่ยาก หากคุณคิดจะปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้คุณมีบุคลิกภาพและภาพลักษณ์ที่ดี ดังต่อไปนี้
การจัดแต่งทรงผม เสื้อผ้า และใบหน้า
คนทำงานหลายคนอ้างว่าไม่มีเวลาที่จะใส่ใจต่อการจัดแต่งทรงผม เสื้อผ้า และใบหน้า คุณเชื่อไหมว่าบางคนเดินเข้ามาทำงาน ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าดูเหมือนไม่ได้รีด ใบหน้าดูมอมแมมหรือไม่ชวนมอง ภาพที่พบเห็นเหล่านี้เป็นภาพที่ไม่น่าดูและไม่มีเสน่ห์ชวนให้อยากพูดคุยหรือช่วยเหลือเอาซะเลย ดังนั้นขอให้คุณเริ่มเอาใจใส่กับเรื่องเหล่านี้ โดยการจัดแต่งทรงผมให้ดูเหมาะสม การสวมเสื้อผ้าที่สะอาดและถูกกาลเทศะ รวมทั้งการดูแลใบหน้าให้สดใส ถ้าเป็นผู้หญิงอาจแต่งหน้าให้ดูสวยงาม แต่ถ้าเป็นผู้ชายควรโกนหนวดเคราให้เรียบร้อยแลดูสะอาดอยู่เสมอ เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นภาพลักษณ์ภายนอกของคุณที่จะทำให้ผู้ที่พบเห็นเกิดความประทับใจและอยากเข้ามาพูดคุย หรือติดต่อสมาคมด้วย
การเดิน การนั่ง และการยืน
ท่วงท่าในการแสดงออกไม่ว่าจะเป็นการเดิน การนั่ง และการยืนเป็นสิ่งที่สำคัญมากต่อบุคลิกภาพที่คนอื่นมองคุณเอง ขอให้คุณสำรวจว่าคุณมีท่าเดิน ท่านั่ง และท่ายืนอย่างไร คุณไม่ควรเร่งรีบเดิน หรือเดินแบบปลงชีวิต หรือเดินแบบห่อตัว รวมทั้งยืนและนั่งหลังค่อมหรือเชิดหน้าจนเกินไป ดิฉันขอเสนอแนะว่าคุณควรจะมีท่าเดิน นั่งและยืนให้สง่า หลังตรง เวลาเดินให้แขนแกว่งไปมาอย่างพอเหมาะ คุณเชื่อไหมว่าท่วงท่าที่แสดงออกมาไม่ว่าจะเป็นการเดิน การนั่ง และการยืนสามารถบ่งบอกถึงบารมีหรือตำแหน่งหน้าที่การงานของคุณได้
การใช้น้ำเสียง และคำพูด
เสน่ห์ที่ดึงดูดใจให้คุณเป็นคนน่าคบหาก็คือ การพูด พบว่าคำพูดสามารถทำให้เปลี่ยนจากมิตรเป็นศัตรู และเปลี่ยนจากศัตรูไปเป็นมิตรได้ ดังนั้นคุณควรจะใช้คำพูดที่ไพเราะ สุภาพ ถูกกาลเทศะ คุณไม่ควรใช้คำพูดที่ก้าวร้าวหรือดูถูกผู้อื่น รวมทั้งการใช้น้ำเสียงและจังหวะในการพูดสื่อสารกับคนอื่น ควรมีจังหวะจะโคนเพื่อจูงใจและเชิญชวนให้ผู้ฟังสนใจและมีความคิด ความรู้สึกคล้อยตามในสิ่งที่พูด ขอให้คุณตระหนักไว้เสมอว่า คำพูดที่คุณพูดอย่างสุภาพ ไพเราะ และถูกต้องตามกาลเทศะนั้นจะทำให้คุณเองมีเสน่ห์ชวนพูดคุยด้วย ทำให้ผู้ฟังมีความรู้สึกเป็นกันเองและเป็นมิตรด้วย นอกจากนี้คำพูดและน้ำเสียงยังสามารถทำนายถึงนิสัยคุณได้อีกด้วย เช่น คนที่พูดเร็ว จะมีนิสัยใจร้อน รีบเร่งทำงานให้เสร็จ ส่วนคนที่พูดช้า แบบค่อย ๆ เรียบเรียงคำพูดนั้น จะเป็นคนที่คิดและทำอะไรช้าตามไปด้วย
คุณลักษณะส่วนบุคคล
คุณลักษณะส่วนบุคคล หรือ Personal Attribute เป็นทัศนคติ ความคิด ความเชื่อ หรือแรงจูงใจที่มีอยู่ภายในตัวคุณเองซึ่งเป็นสิ่งที่คุณมีและถูกปลูกผังจนติดเป็นนิสัย คุณลักษณะส่วนบุคคลจึงจัดได้ว่าเป็นภาพลักษณ์ที่คนอื่นมองตัวคุณอย่างหนึ่ง ผู้ที่มีคุณลักษณะส่วนบุคคลที่ดีจะทำให้คนอื่นอยากเข้าใกล้ อยากคบหาและพูดคุยด้วย คุณลักษณะส่วนบุคคลที่สำคัญและขอนำเสนอ ได้แก่
* การควบคุมอารมณ์และความเครียด การแสดงกิริยา คำพูด แลพฤติกรรมอย่างเหมาะสมเมื่อคุณเผชิญกับสภาวะความเครียดและปัญหาที่รุมเร้าคุณอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะทำให้คุณมีจิตใจที่สงบ มีสติรู้ว่าควรจะแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการใด
* การมองโลกในแง่ดี เป็นการคิด ทำ และพูดแต่สิ่งดี ๆ และสร้างสรรค์กับตนเอง และผู้อื่น ไม่มองตนเองและคนอื่นในแง่ไม่ดี มีความมั่นใจและศรัทธาในตนเองและผู้อื่นอย่างจริงใจ คนที่มองโลกในแง่ดีจะทำให้มีเสน่ห์ชวนอยู่ใกล้ด้วย เนื่องจากเวลาที่พูดคุยด้วยแล้วจะรู้สึกสบายใจ รู้สึกว่าชีวิตนี้ยังมีหวัง

สุขภาพจิต Mental Health

Mental Health สุขภาพจิต
กันยา สุวรรณ รศ.ดร. อาจารย์ศึกษาศาสตร์ ของมหาวิทยาลัย ท่านได้ให้ความหมายของ สุขภาพจิต ว่า หมายถึง ความสมบูรณ์ในด้านจิตใจ จิตใจปกติ เข้มแข็งอารมณ์มั่นคง สามารถปรับตัวกาย และใจ ให้ดุลยภาพกับ สิ่งแวดล้อม และสังคม ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความสุข
นิภา นิธยาย น,รศ. ให้ความหมายสุขภาพจิตว่า สุขภาพจิตเป็นผลของการปรับตัว ซึ่งเป็นวิธีการที่คนเราแสดงปฏิกิริยา ตอบโต้ใน การปรับตัวให้เป็นไปตามความต้องการของตัวเอง เพื่อนฝูงหรือสังคม หรือในการเผชิญสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแก่ตัวเอง ตั้งแต่แรกเกิดจนวาระสุดท้ายของชีวิต เป็นเครื่องที่จะกำหนดแบบของ บุคลิกภาพ ซึ่งรวมทั้ง สุขภาพจิต ที่มีคุณภาพของคนเราด้วย
สุขภาพจิต ที่ดี คือ ความสามารถที่ปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม โดยไม่จำเป็นจะต้องปล่อยให้เป็นไปตาม อำนาจของ สิ่งแวดล้อมทุกอย่าง แต่ไม่เอาแต่ใจตัวเองหรือไม่คำนึงถึงผู้อื่น สุขภาพจิต ย่อมมีความเหมือนกันกับ สุขภาพกาย ย่อมมีเวลาเสื่อมบ้าง โทรมบ้างสลับกันไป เป็นธรรมดาผู้ที่มีปกติทาง สุขภาพจิต ที่สมบูรณ์ตลอดเวลานั้นหายาก บางคน ต้องล้มป่วยเป็นโรคนี้บ้าง โรคนั้นบ้าง อันเป็นผลมาจากสุข
ลักษณะของผู้ที่มีสุขภาพจิตดี
ผู้ที่มี สุขภาพจิต ดีจะสามารถเผชิญกับ เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างดีทั้งในสถานการณ์ปกติ และไม่ปกติและ สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้
เกณฑ์ในการพิจารณาผู้ที่มีสุขภาพจิตดีมีดังต่อไปนี้
ก. ความรู้สึกต่อตัวเอง
1. ไม่เกิดอารมณ์ต่าง ๆ รบกวนตนเองมากนัก เช่น โกรธ กลัว กังวล ฯลฯ
2. สามารถควบคุมความผิดหวังได้
3. เข้าใจตนเองอย่างถูกต้อง เช่น ยอมรับข้อบกพร่องของตนเอง
4. นับถือตนเอง ไม่ยอมให้ผู้อื่นมีอิทธิพลเหนือตนเอง
5. สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้โดยรู้สาเหตุแห่งปัญหา
ข. ความรู้สึกต่อผู้อื่น
1. ให้ความรักแก่คนอื่น และยอมรับพิจารณาความสนใจของคนอื่น
2. คบหาสมาคมกับคนอื่น ๆ ได้
3. ไว้วางใจคนอื่น ๆ ไม่หวาดระแวง
4. ยอมรับนับถือความแตกต่างหลาย ๆ อย่างที่คนอื่นมี
5. ไม่ผลักดันให้ผู้อื่นตามใจตนเอง และไม่ตามใจผู้อื่นตามใจชอบ
6. รู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของหมู่คณะ และมีความรับผิดชอบต่อมนุษย์ทั่วไป
ค. ความสามารถในการดำเนินชีวิต
1. สามารถแก้ไขปัญหาในชีวิตได้เป็นอย่างดี
2. มีสิทธิและรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเอง
3. รู้จักทำสภาพแวดล้อมให้ดีที่สุด ในกรณีจำเป็นก็ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี
4. รู้จักวางแผนดำเนินชีวิต ไม่หวาดกลัวอนาคต
5. ยอมรับประสบการณ์ และความคิดใหม่ ๆ
6. ใช้ความสามารถของตนอย่างเต็มที่ ถ้าทำอะไรก็ทำอย่างเต็มความสามารถ และพึงพอใจต่อการกระทำนั้น
7. วางเป้าหมายที่นำมาซึ่งความสำเร็จในชีวิตของตนเองได้
ตามหลักจิตวิทยาถือว่าผู้มีสุขภาพจิตดีจะมีลักษณะดังนี้
1. รู้จักเผชิญต่อความจริงของชีวิต ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ
2. เป็นผู้มีอิสระ มีเหตุผลอันถูกต้องของตนเอง
3. สามารถให้ความรักผู้อื่นโดยทั่ว ๆ ไป
4. รู้จักไว้วางใจอย่างมีเหตุผลต่อผู้อื่น และรับฟังข้อวิจารณ์ที่เกี่ยวกับตนเองได้
5. มีการแสดงออกทางอารมณ์พอสมควร รู้จักโกรธ เกลียด และรู้จักยับยั้งความโกรธเกลียดด้วยเหตุผล ไม่ปล่อยอารมณ์รุนแรง
6. มีความสามารถที่จะคิดถึงอนาคต โดยรู้จักพิจารณาอย่างรอบคอบ
7. รู้จักผ่อนคลายทางใจ ปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่ และพักผ่อนอย่างเพียงพอ
8. รู้จักปรับปรุงตนเองให้เข้ากับงานได้ พยายามหาทางก้าวหน้าอยู่เสมอ
9. รู้จักเอ็นดูและอดทนต่อเด็ก ไม่รำคาญเสียงหัวเราะ และร้องไห้ของเด็ก
10. รู้จักปรับปรุงตนเองเกี่ยวกับเรื่องเพศ เข้าใจและไม่มีความผิดปกติทางเพศ
11. สามารถศึกษาและสร้างอารมณ์ต่าง ๆ ให้เจริญ เข้าใจและรู้จักควบคุมอารมณ์เพื่อความ เจริญแห่งตนได้
ผู้มีสุขภาพจิตดีจะต้องรู้จักปรับตัวให้เข้ากับ สิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงได้อย่างเหมาะสม ผู้มีสุขภาพจิตดีจึงเป็น ผู้ที่ปรับตัวได้ดี เป็นผู้รู้จักและเข้าใจผู้อื่นได้ดีและสามารถเผชิญกับปัญหา และความจริงแห่งชีวิตได้ดี
ส่วนผู้ที่มีสุขภาพจิตไม่ดีก็คือ ผู้ที่ปรับตัวได้ไม่ดี ( Mal - adjusted person ) จะเป็นบุคคลที่มีลักษณะตรงกันข้ามกับ ผู้ที่ปรับตัวได้ดี ( Well adjusted person ) นั่นเอง ไม่รู้จักและไม่เข้าใจตนเอง ไม่รู้จักและไม่เข้าใจผู้อื่น ตลอดจนไม่สามารถเผชิญปัญหาและความจริงแห่งชีวิตได้ ทำให้ไม่ สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข
คนปกติเมื่อตกอยู่ในภาวะหรือเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง จะทำให้เกิดความตึงเครียดเป็นเวลานาน พฤติกรรมอาจเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น มีอารมณ์แปรปรวน มีความคิดสับสน การรับรู้ผิดไปจากปกติ จนทำให้ไม่สามารถ ประกอบกิจกรรม เพื่อดำรงชีวิตที่ปกติได้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้เกิดปัญหา สุขภาพจิต ปัญหาจะมีความรุนแรงมากน้อยขึ้นอยู่กับสาเหตุของปัญหา และระยะเวลาที่ได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจ
มีปัจจัยมากมายที่ก่อให้เกิดปัญหา สุขภาพจิต เพราะจิตใจของมนุษย์เป็นสิ่งละเอียดอ่อน เกิดความรู้สึกนึกคิดอยู่ตลอดเวลา แล้วแสดงออกมาเป็นพฤติกรรม พฤติกรรมที่แสดงออกนั้นจะแปรเปลี่ยนไปตามสิ่งเร้าที่มากระทบ ส่งผลให้มี สุขภาพจิต ในรูปแบบต่าง ๆ กัน คืออาจมี สุขภาพจิตดี สุขภาพจิต ไม่ดีหรือเจ็บป่วยเป็นโรคประสาท โรคจิต หรือมีปัญหา สุขภาพจิต เป็นต้น

ข้อมูลจาก : http://www.novabizz.com/NovaAce/Subconscious.htm

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 6

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 6
เรื่อง พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคคลกรทางการศึกษา

1. ข้อใดคือส่วนราชการ
ก. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ข. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ค. กลุ่มบริหารงานบุคคล สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ง. สถานศึกษา
2 ก.ค.ศ. ย่อมาจากอะไร
ก. กรรมการข้าราชการครูทางการศึกษา
ข. กรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ค. คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ง. คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาอื่น
3. ใครคือ รองประธาน ก.ค.ศ.
ก. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ข. ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
ค. เลขาธิการ ก.ค.ศ. ง. ไม่กำหนดแน่นอนแล้วแต่ที่ประชุม
4. ข้อใด ไม่ใช่ ก.ค.ศ.โดยตำแหน่ง
ก. เลขาธิการ ก.ค.ศ.
ข. เลขาธิการคุรุสภา
ค. เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
ง. เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา
5. คำว่าการดำเนินการให้เป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี หมายถึงข้อใด
ก. ยึดถือระบบคุณธรรม
ข. ยึดความเสมอภาคระหว่างบุคคล
ค. ยึดหลักการได้รับการปฏิบัติและการคุ้มครองสิทธิอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน
ง. ถูกทุกข้อ
6. ใครเป็นผู้ให้ความเห็นชอบในการจ่ายเงินสะสมและดอกเบี้ยคืนหรือให้กู้ยืมเพื่อดำเนินการตามโครงการสวัสดิการสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ก. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ข. ก.ค.ศ.
ค. คณะรัฐมนตรี ง. คณะกรรมการคุรุสภา
7. ตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา มีกี่ประเภท
ก. 2 ข. 4
ค. 3 ง. 5
8. ใครเป็นผู้ให้ความเห็นชอบในการให้ได้รับเงินวิทยฐานะ
ก. อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา ข. ก.ค.ศ.
ค. คณะรัฐมนตรี ง. เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
9. ใครคือเลขาธิการ ก.ค.ศ.
ก. นายประเสริฐ งามพันธุ์ ข. นายสุธี วัฒนวันยู
ค. นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ง. นายทศพร ศิริสัมพันธ์
10. เว็บไซด์สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางศึกษา ตรงกับข้อใด
ก. http://61.7.158.14 ข. http://www.opdc.go.th/
ค. http://202.143.174.6/ ง. http://203.146.206.128/webtcs/

หมายเหตุ
**ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นการรวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ กราบขออภัยหากการอ้างอิงแสดงไว้ไม่ทั่วถึง...ขอทุกท่านอธิษฐานจิตให้ผลกุศลคุณงามความดีต่างๆ บังเกิดผลแด่ท่านผู้เป็นเจ้าของต้นฉบับ..และ..การนำมาแผยแพร่นี้..เป็นการเอื้อเฝื่อเกิ้อกูลกันตามแบบอย่างธรรมเนียมไทย...ขอทุกท่านใช้ข้อมูลเหล่านี้..เพื่อประโยชน์ท่าน..ประโยชน์สังคมให้เต็มที่เถิด**

***ถ้าข้อมูลส่วนใดเก่า...ล้าสมัยก็อย่าไปใส่ใจนะครับ....มีความคิดเห็นใดๆ...โปรดแสดงความคิดเห็นของท่านกลับให้ทราบด้วย...ขอขอพระคุณ
***************************************ครูปู-ปุถุชน

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 5

แบบทดสอบผู้บริหารสถานศึกษา ภาค ข ฉบับที่ 5
เรื่อง พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา 2546

1. คุรุสภา อยู่ในกำกับของข้อใด
ก. คณะกรรมการอำนวยการคุรุสภา ข. กระทรวงศึกษาธิการ
ค. สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา ง. คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ
2 ข้อใดคืออำนาจหน้าที่ของคุรุสภา
ก. กำหนดมาตรฐานวิชาชีพ
ข. กำหนดนโยบายและแผนพัฒนาวิชาชีพ
ค. ประสานส่งเสริมการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพ
ง. เป็นตัวแทนผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาของประเทศไทย
3. ใครเป็นผู้ให้ความเห็นชอบในการออกข้อบังฃับของคุรุสภา
ก. คณะรัฐมนตรี ข. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ค. คณะกรรมการคุรุสภา ง. เลขานุการคุรุสภา
4. ข้อใดไม่ใช่คณะกรรมการคุรุสภาโดยตำแหน่ง
ก. ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
ข. ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ค. ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน
ง. หัวหน้างานสำนักงานคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น
5. กรรมการคุรุสภาผู้ทรงคุณวุฒิมีกี่คน
ก. 7 คน ข. ไม่เกิน 7 คน
ค. 9 คน ง. 5 คน
6. ข้อใดไม่ใช่กรรมการโดยตำแหน่งของคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ
ก. เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ข. เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
ค. ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
ง. เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
7. คณะกรรมการคุรุสภามีการประชุมปีละกี่ครั้ง
ก. 10 ครั้ง ข. 12 ครั้ง
ค. 15 ครั้ง ง. 24 ครั้ง
8. คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดตามข้อใด
ก. ยกข้อกล่าวหา ข. ภาคทัณฑ์
ค. เพิกถอนใบอนุญาต ง. ถูกทุกข้อ
9. ใครมีอำนาจแต่งตั้งสมาชิกกิตติมศักดิ์
ก. คณะรัฐมนตรี ข. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ค. คณะกรรมการคุรุสภา
ง. คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
10. รางวัลที่ท่านเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้รับ เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2552 คือรางวัลใด
ก. รางวัลผู้ส่งเสริมงานสุขภาพดีเด่นของสังคม
ข. รางวัลผู้ส่งเสริมงานสุขภาพจิตดีเด่นของสังคม
ค. รางวัลผู้เสียสละมีจิตสาธารณะเพื่อสังคมดีเด่น
ง. รางวัลผู้ส่งเสริมสุขภาพจิตของสังคมและชุมชน

หมายเหตุ
**ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นการรวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ กราบขออภัยหากการอ้างอิงแสดงไว้ไม่ทั่วถึง...ขอทุกท่านอธิษฐานจิตให้ผลกุศลคุณงามความดีต่างๆ บังเกิดผลแด่ท่านผู้เป็นเจ้าของต้นฉบับ..และ..การนำมาแผยแพร่นี้..เป็นการเอื้อเฝื่อเกิ้อกูลกันตามแบบอย่างธรรมเนียมไทย...ขอทุกท่านใช้ข้อมูลเหล่านี้..เพื่อประโยชน์ท่าน..ประโยชน์สังคมให้เต็มที่เถิด**

***ถ้าข้อมูลส่วนใดเก่า...ล้าสมัยก็อย่าไปใส่ใจนะครับ....มีความคิดเห็นใดๆ...โปรดแสดงความคิดเห็นของท่านกลับให้ทราบด้วย...ขอขอพระคุณ
***************************************ครูปู-ปุถุชน

30 วิธีเอาชนะโชคชะตา

30 วิธีเอาชนะโชคชะตา

เกล็ดจาก คำนำ “ 30 วิธีเอาชนะโชคชะตา ” ของบัณฑิต อึ้งรังสี หนทางที่สามารถก้าวไปถึงความสำเร็จ คือ ทำ ทำ ทำ และก็ ทำ การที่จะช่วยให้ถึงเป้าหมายเร็วขึ้น อาจจะต้องมีพลังความช่วยเหลือมาจากภายนอก (จากบุคคลผู้มีอำนาจ จากเพื่อนๆ หรือจากโชค..)นอกจากจะต้องเก่งสู้เขาได้ หรือเก่งกว่า แล้ว
จะต้องโชคดีกว่า จะต้องมีพลังอะไรต่างๆ มาคอยช่วยหนุน ประคับประคอง และผลักดันอยู่เสมอ คุณเป็น “ คนโชคดี ” หากคุณประสบความสำเร็จ หรือได้สิ่งที่ต้องการ หรือมีความสุขได้ง่ายและเร็วกว่าคนอื่น
“ โชคร้าย ” ก็เหมือนมรสุมที่คอยขัดขวางการเดินทาง ทำให้ถึงเป้าหมายได้ยากขึ้น ถ้าท้อแท้และล้มเลิกยอมแพ้ ก็อาจไม่ถึงเป้าหมายนั้นเลย
รู้ เข้าใจ เห็นด้วย แต่เมื่อไม่ได้นำไปใช้ ก็ลืม
รู้ เข้าใจ เห็นด้วย แต่เมื่อไม่ได้นำไปใช้ อย่างนานเพียงพอ อย่าด่วนสรุปว่า ไม่ได้ผล
สิ่งที่จะช่วยความจำได้ดีที่สุด คือ การทำอยู่เรื่อยๆ จนติดเป็นนิสัย
กฎ “ 30 วิธีเอาชนะโชคชะตา ”
กฎข้อที่ 1 คนโชคดี รู้ว่า “ โชค ” สามารถเปลี่ยนแปลงได้ไม่มีอนาคตใคร ที่ฟ้าลิขิตมาแล้ว ทุกอย่างในอนาคตเปลี่ยนแปลงได้ โชคที่ฟ้าลิขิตมานั้น มันดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่คนที่โชคดีจริงๆ นั้น สามารถเปลี่ยนสิ่งที่ฟ้าให้มา เป็นสิ่งที่ดีได้ทั้งหมด จะเปลี่ยนโชคนั้นได้ คุณต้องเปลี่ยนความคิดของตนเองตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ว่า โชคเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้
กฎข้อที่ 2 คนโชคดีเชื่อว่า ตัวเขาเองสามารถเปลี่ยนแปลงโชคนั้นได้ เราสร้างอนาคตของเราเอง แต่ไปเรียกมันว่า “โชคชะตา” (เบนจามิน ดิสเรลี) สิ่งที่ควบคุมโชคเหล่านั้น อยู่ในมือคุณทั้งหมด คือตัวคุณเอง การจะเรียนรู้จัก วิธีการควบคุมโชค การเป็นเจ้านายโชค และการกำราบโชคให้อยู่หมัด เราต้องเชื่อว่า เราเองเป็นผู้รับผิดชอบในความโชคดี โชคร้าย ของตัวเราเอง และต้องไม่ปัดความรับผิดชอบไปให้ผู้อื่น หรือสิ่งอื่น การเรียนรู้การเป็นเจ้านายของโชค เป็นเหมือนการเรียน “ทักษะ” (Skill) อย่างหนึ่ง ที่เราสามารถเรียนรู้ให้เก่งได้ ข้อดีของการฝึก “ทักษะ” คือ ยิ่งเราเก่งมากเท่าใด เราก็ควบคุมสถานการณ์ได้มากขึ้นเท่านั้น เราต้องควบคุมสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แทนที่จะให้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นควบคุมเรา ยิ่งเราเก่งในเรื่อง “ทักษะในการควบคุมโชค” มากแค่ไหน ไม่ว่าสถานการณ์อะไรเกิดขึ้น ร้ายหรือดี เราสามารถเปลี่ยนสถานการณ์นั้นให้เป็นดี หรือดีกว่า ได้ทั้งหมด
กฎข้อที่ 3 รู้จัก กฎพ่อ และกฎแม่ แห่งโชคลาภ
กฎที่สำคัญที่สุดแห่งโชคลาภ คือ
• กฎแห่งเหตุและผล (The law of cause and effect)
• กฎแห่งแรงดึงดูด (The law of attraction)
โลกนี้ เป็นโลกที่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่แน่นอน ตายตัว ไม่ยกเว้นใคร (ไม่ว่าคุณจะชอบมัน หรือเชื่อมันหรือไม่ก็ตาม) คนที่ฝ่าฝืนไม่เคารพกฎเหล่านี้ จะได้รับผลลัพธ์ที่ตนเองไม่ต้องการ แล้วเรียกมันว่า “โชคร้าย”
กฎข้อที่ 4 จงเคารพ กฎแห่ง เหตุและผล (กฎพ่อ แห่งโชคลาภ)ทุกอย่างเกิดขึ้น โดยมีเหตุ มีผล (สำหรับผลทุกอย่าง จะมีสาเหตุที่แน่นอน) ถ้าคุณเปลี่ยนเหตุให้ดีขึ้น ผลของคุณก็จะดีขึ้น การกระทำ (หรือเหตุ) ทุกอย่าง จะมีผลตามมา ไม่ว่าเราจะ เห็นมันหรือไม่ และไม่ว่าเราจะชอบมันหรือไม่ ก็ตาม
** โชค ไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดแบบสุ่มสี่สุ่มห้า อะไรที่เกิดขึ้นกับเรา จะเป็นผลบางอย่างจากการกระทำ หรือความคิดของเรา ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
ข้อปฏิบัติ
ถ้าอยากได้ผล (หรือโชค) ที่ต่างไป ก็ต้องเปลี่ยนเหตุหรือการกระทำ และความคิดของเราเอง
บางทีสาเหตุนั้นอาจไม่ชัดเจน เราอาจไม่ทราบหรือไม่เข้าใจ หน้าที่ของเรา คือ หาสาเหตุนั้น
กฎข้อที่ 5 จงบูชา กฎแห่งแรงดึงดูด (กฎแม่แห่งโชคลาภ)
(เพื่อได้) โชค คุณต้องใช้กฎแห่งแรงดึงดูด ช่วยดึง ผู้คนและสถานการณ์ ที่จะช่วยคุณให้เดินหน้าเร็วขึ้น เข้ามาในชีวิต (ไบรอัน เทรซี่ , สรอ.)
** กฎแห่งแรงดึงดูด “คุณจะดึงดูดสิ่งที่อยู่ในความคิดส่วนใหญ่ของคุณเข้ามาในชีวิต” ไม่ว่าจะเป็น คน สถานการณ์ สิ่งของ ...ฯลฯ... (กฎนี้ เป็นกฎตายตัวของโลก เหมือนกฎแห่งแรงโน้มถ่วง ไม่ว่าคุณจะชอบมันหรือไม่ และเชื่อมันหรือไม่ ก็ตาม)
ข้อปฏิบัติ
สิ่งเดียวที่ต้องทำ คือ ควบคุมความคิด ให้คิดแต่ในเรื่องที่ต้องการเท่านั้น (พูดถึงมัน ฝันถึงมัน หมกมุ่นอยู่กับมันตลอดเวลา) สิ่งนี้ ทำยากกว่าที่คิด เพราะจิตสำนึกของเราจะคอยคิดแต่เรื่องทางลบ
เทคนิค
ลงโทษตัวเองเล็กๆ (ทุกครั้งที่คิดในเรื่องทางลบ) เมื่อความคิดเถลไถลไปเรื่องทางลบ เพื่อเทรนให้จิตสำนึกเชื่อมความเจ็บกับความคิดทางลบ (ทำติดต่อกันอย่างน้อย 21 วัน จะเป็นการพัฒนาจิตใจให้กล้าแข็งขึ้น)
*** มีทางสองแบบ ที่จะไปถึงเป้าหมายหรือสิ่งที่ต้องการ
ทางแรก ทำงานลูกเดียว เพื่อให้ถึงเป้าหมายให้ได้ (วิธีนี้ เหนื่อยและช้า)
ทางที่สอง ขณะที่คุณ วิ่ง เข้าหาเป้าหมาย เป้าหมายนั้น ก็วิ่ง เข้าหาคุณ (วิธีนี้ เหนื่อยน้อยและเร็ว)
กฎข้อที่ 6 กำจัด ความเชื่อที่จำกัด
คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่คนเราเลือกที่จะเป็นได้ ที่สำคัญ ต้องคิดเป็น (ไม่เช่นนั้น ก็อยู่เหมือนคนล้มเหลว)
** ในโลกนี้ ทุกอย่างเป็นไปได้ ถ้าตั้งใจและคิดอย่างถูกต้องมนุษย์สามารถเป็นอะไรที่ตนเองต้องการได้ทั้งนั้น เพราะมนุษย์จะพัฒนาการไป ตามที่ตนเองคิดเท่านั้นถ้าคุณคิดเป็น คุณไม่ต้องพึ่งโชค แต่คุณจะสร้างโชค หากรู้วิธีสร้างโชคเองแล้ว อยากโชคดีแค่ไหนก็ได้ทั้งนั้น สร้างโชค(ดี) เป็นผู้กำราบโชค เอาชนะโชคจนอยู่หมัด ย่อมมีความรู้สึกที่แตกต่างกับการตกเป็นเหยื่อของโชค(ร้าย)

กฎข้อที่ 7 ทำตัวเป็น หมอดูที่แม่นที่สุดในโลกไม่มีคนคนใดสามารถมาลิขิตชีวิตของมนุษย์ได้ คุณจะต้องกุมบังเหียนชีวิตนี้เอง ไม่ว่าชีวิตนี้จะออกมาดีหรือไม่ดี คุณต้องเป็นผู้รับผิดชอบมันทั้งนั้น
** มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ มีความสามารถที่จะสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ โดยการคิด และการกระทำที่ถูกต้อง
- เพราะในเมื่อมนุษย์จะพัฒนาการไปตามอย่างที่ตนคิด การคิดและการกระทำในตอนนี้ จึงเป็นตัวกำหนดผลในอนาคต
- คุณมีศักยภาพในการเปลี่ยนอนาคตของตัวเอง คุณสามารถทำนายอนาคตของคุณเองได้ ถ้าคุณ มุ่งพลังกาย พลังความคิด ไปที่สิ่งที่ดี ความฝันที่ยิ่งใหญ่ อนาคตของคุณก็จะไปในทิศทางนั้น (ดี / ไม่ดี)
“มนุษย์จะพัฒนาการไปตามอย่างที่ตนคิด” เป็นกฎที่แน่นอนและตายตัวของโลก เหมือนกฎแรงโน้มถ่วง อยู่คู่โลกมาตั้งแต่มีมนุษย์ และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ใช้ได้ทุกประเทศทุกสมัย ตลอดไป เป็นกฎแห่งการทำนายอนาคต หน้าที่ของคุณ ก็คือ ทำอย่างไรที่จะเข้าใจถ่องแท้ถึงกฎนี้ เพื่อจะได้นำไปใช้ และเมื่อไหร่ที่คุณเป็นเจ้าของกฎนี้ คุณสามารถมี และเป็นอะไรก็ได้ตามใจปรารถนา
กฎข้อที่ 8 คนโชคดี ตัดสินใจ ไขว่คว้าหาโชค
สุภาษิตญี่ปุ่นกล่าวไว้ว่า “ วันที่คุณตัดสินใจทำ เป็นวันโชคดีของคุณ ”
กฎข้อที่ 9 คนโชคดี ลงมือทำวันนี้
* เมื่อคุณรู้ว่าต้องการอะไรคุณต้องเริ่มวางแผนเดินหน้าเข้าไปหาเป้า และทำวันนี้
(วันพรุ่งนี้ไม่เคยมา ชีวิตทุกคนประกอบไปด้วยวันนี้)
** เริ่มอะไรก็ได้ แม้ว่าเล็กเท่าใดก็ตาม เพราะการเริ่มต้นนั้นยากที่สุด แต่เมื่อได้เริ่มแล้ว การทำต่อ จะใช้แรงและความพยายามน้อยลง
กฎข้อที่ 10 รู้จัก องค์ประกอบของโชค
เซเนกา / โรมัน / คศ. 1 , กล่าวว่า โชค คือ ความเตรียมพร้อม พบกับ โอกาส
** องค์ประกอบของโชคดี คือ
โอกาส
ความเตรียมพร้อม
ทั้งสองสิ่งต้องเกิดขึ้นด้วยกัน จึงจะเป็น “ โชคดี ”ถ้าโอกาสมาถึง แต่เราไม่พร้อม เรียกว่า ความน่าเสียดาย
** เราต้องรู้จักสร้างโอกาส ทำอย่างไรก็ได้ให้โอกาสเกิดขึ้นกับเรามากที่สุด **
กฎข้อที่ 11 เพิ่มโอกาส โดยลองสิ่งแปลกใหม่
** สิ่งหนึ่งที่ทำได้ ที่จะเปิดโอกาสนั้นมาถึงเราได้มากครั้งที่สุด คือ ลองสิ่งใหม่ ๆ
- ถ้าการกระทำของคุณเป็นแบบเดิม ๆ คุณก็จะได้ผลแบบเดิม ๆ
** ไอน์สไตน์ ให้คำนิยาม การทำสิ่งเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมา และหวังให้ผลมันเปลี่ยนไป ว่า “ ความวิกลจริต ”
- ถ้าอยากได้ผลที่แตกต่างไปในทางดี ก็ต้องลองทำสิ่งใหม่ ๆ ดี ๆ ที่เราไม่เคยทำ หรือที่ไม่มีคนอื่นเคยทำ
- เนื่องจากโชคของคุณ ส่วนใหญ่จะมาจากผู้อื่น ดังนั้น การเจอคนใหม่ ๆ ที่ดี ๆ ทำให้มีโอกาสที่จะประสบสิ่งดี ๆ
- ยิ่งคุณเป็นคนรู้จักคนมากเท่าไหร่ โอกาสที่คนจะนำไป หรือให้ไอเดียสิ่งดี ๆ ก็มีเยอะมากยิ่งขึ้น แค่ไอเดียดี ๆ ไอเดียเดียว สามารถทำให้เราเป็นมหาเศรษฐีได้
กฎข้อที่ 12 เพิ่มโอกาส โดยการเอาตนเองเข้าไปอยู่ในหนทางของโอกาส
** การเอาตัวเข้าไปอยู่ในหนทางของโอกาส ก็เหมือนกับการไปรอตรงที่โอกาสมันมีสิทธิโผล่ขึ้นมาได้มาก เราควรคิดว่า สิ่งที่เราอยากได้ มันอยู่กันที่ไหนเยอะ ๆ
- การที่เราได้โอกาสมากกว่า ก็ทำให้ได้พัฒนาฝีมือได้รวดเร็วกว่า
ข้อคิด
ลองถามตนเองว่า เหตุที่เราไม่ก้าวหน้า หรือไม่มีโชค เป็นเพราะเราทำงานอยู่ในองค์กรที่ผิดหรือเปล่า ไม่เหมาะสมกับความสามารถส่วนตัว หรือเปล่า หรือตั้งร้านค้าอยู่ในสถานที่ที่ผิดหรือไม่.....(บางครั้ง แค่เปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ก็ทำให้โชคเปลี่ยนไปได้อย่างรวดเร็ว)
กฎข้อที่ 13 เพิ่มโอกาส โดยการเพิ่มคุณค่าของตนเอง
** การเพิ่มคุณค่าให้ตนเองในทุก ๆ ทาง ทำให้เราวางตำแหน่งของตัวเราให้อยู่ในโอกาสที่คล้าย ๆ กัน คือ ดีขึ้น ดีขึ้น ยิ่งตนเองดีมากเท่าไร โอกาสที่ผ่านมาในชีวิต ก็ดีมากขึ้นเท่านั้น (โชคดี จะมีโอกาสเกิดมากขึ้น เป็นเงาตามตัว )
- กล่าวกันว่า “ Birds of a Feather Flock Together ”
“ คนที่อยู่ในระดับเดียวกัน จะอยู่ใกล้กัน หรือเป็นเพื่อนกัน ”
(คนที่ประสบความสำเร็จ ก็จะได้เพื่อน เป็นคนที่ประสบความสำเร็จ)
- ยิ่งคุณเพิ่มคุณค่าให้ตนเองมากเท่าใด คุณก็จะมีเพื่อนเป็นคนที่มีค่าและประสบความสำเร็จ เพิ่มขึ้นเท่านั้น
- ยิ่งคุณมีเพื่อน “ คุณภาพ ” มาก โชคดีของคุณก็จะเพิ่มเป็นทวีคูณ
“ Like Attracts Like ” สิ่งที่คล้าย ๆ กัน จะถูกดึงดูดเข้าหากัน
** อยากได้ของดี ตนเองต้องเป็นของดีด้วย
กฎข้อที่ 14 เพิ่มโอกาส โดยการออกไปเจอคน
** เวลามีโอกาสผ่านเข้ามาถึง ถ้าคนในตำแหน่งที่มีอำนาจไม่เคยรู้จัก หรือไม่เคยเห็นหน้าเราเลย เขาไม่สามารถจับเราชนกับโอกาสนั้นได้ เขาต้องคิดถึง คนที่โดดเด่น (ซึ่งบางครั้งไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องความเก่งเสมอไป อาจเป็นความมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี หรือมีความเป็นผู้นำ หรือมีผลงาน)
กฎข้อที่ 15 คบคนพาล พาลพาไปหาผิด
- คนที่ไม่ดี คนที่เป็นคนคิดทางลบ คนที่ชอบบอกว่า เป็นไปไม่ได้หรอก อย่าคิดเลย คิดอะไรเกินตัว ฝันหวาน.... ส่วนใหญ่คนเหล่านี้ เป็นคนที่ไม่ค่อยจะทำอะไรที่น่าสนใจ อยู่ใกล้คนเหล่านี้นาน ๆ คุณจะคิดว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงการที่เขาเหล่านั้นเป็นผู้แพ้ด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม ไม่ควรจะมาทำให้คุณเป็น ผู้แพ้ด้วย
* การอยู่ใกล้ ๆ คนที่กล้าคิดใหญ่ ฝันใหญ่ แล้วทำได้ ทำให้เราได้แรงบันดาลใจ กล้าคิด กล้าทำ
หรืออ่านหนังสือของคนที่ประสบความสำเร็จเขียนแบ่งปัน ทำให้เราได้ความคิดใหม่ ๆ ดี ๆ โอกาสที่จะโชคดี มีมากขึ้นเป็นทวีคูณ
** ถ้าคุณอยากโชคดี ชีวิตคุณควรจะห้อมล้อมตนเองด้วยคนที่เก่ง ฉลาด ประสบความสำเร็จ คิดในทางบวก อย่าไปเสียเวลากับคนที่ชอบพูดทางลบ ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะเขาจะนำเอาโชคร้ายมาให้
กฎข้อที่ 16 เพิ่มโอกาส โดยการเอาประโยชน์ให้มากที่สุดจากสถานการณ์ปัจจุบัน (ที่ไม่ดีนัก)
* โอกาสนั้น ไม่ใช่เกิดบ้าง ไม่เกิดบ้าง หรือเกิดตามความบังเอิญโอกาสนั้น มีอยู่ทั่วไป แต่เราจะเห็นมันหรือเปล่า เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าใจเราปิดแคบ หรือมีวิสัยทัศน์ที่แคบ ๆ เราก็จะไม่เห็นโอกาสนั้น
** คนที่โชคดี จะเป็นคนที่มองเห็นโอกาสในสถานการณ์ที่คนทั่วไปคิดว่า ไม่ดีนักและสามารถทำประโยชน์จากทุกสถานการณ์ (ถ้าสถานการณ์ไม่เหมือนกับที่ คาดหวังไว้ ก็จะไม่ย่อท้อ จะมองหาสิ่งดีที่เขาทำได้ในสถานการณ์นั้น)
** ในการแข่งขัน หัวสมองจะต้องเริ่มทำงานทันทีว่า ทำอย่างไร เราจึงจะโดดเด่นจากผู้แข่งขันรายอื่น (ทำอย่างไรกรรมการจึงจะจำเราได้) ซึ่งเมื่อหัวสมองได้พุ่งไปทำงานอย่างนั้นแล้ว จะทำให้เราสามารถเอาศักยภาพทั้งหลายมาใช้ได้เต็มที่ ผลก็คือ ทำให้เราได้เรียนรู้อย่างมากมายถึงศักยภาพที่เราไม่เคยรู้ว่ามีอยู่
กฎข้อที่ 17 เตรียมความพร้อม สำหรับโอกาสที่กำลังจะมาเสมอ
- สถานะ ชาติตระกูล และองค์อื่น ไม่สำคัญเท่า ความทะเยอทะยานส่วนตัว การใฝ่หาโอกาส และที่สำคัญที่สุด คือ การเตรียมความพร้อม
** อับราฮัม ลิงคอล์น กล่าวว่า ผมมีกฎง่าย ๆ คือ
“ จงเตรียมพร้อมทุกอย่าง เหมือนกับโอกาสของเราจะมาถึงในวันนี้ ”
กฎข้อที่ 18 เข้าใจว่า “โชคส่วนใหญ่ของคุณ จะมาจากคนอื่น.....”
- คนอื่น ๆ เช่น ผู้ใหญ่ที่เห็นผลงานดีของเรา / เพื่อนดี ๆ ที่ช่วยเหลือในสิ่งต่าง ๆ คนอื่น ๆ ที่มีอำนาจตัดสินใจว่าจะช่วยเรา...ฯลฯ.....
** เป็นเรื่องธรรมดาที่ว่า คนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกคน จะเป็นคนที่โชคดีกว่าผู้อื่น เป็นคนที่เพื่อนหรือผู้มีอำนาจนึกถึงเวลามีงานดี ๆ หรือมีคนดี ๆ ที่อยากแนะนำให้รู้จัก เมื่อไม่มีโอกาส ความสามารถอาจพัฒนาได้ช้ากว่าที่ควร
** เพิ่มสัมพันธภาพกับผู้อื่น ก่อนที่คุณต้องการขอความช่วยเหลือ
“ Dig your well before you’re thirsty ”
กฎข้อที่ 19 เป็น “คนเก่งทางด้านมนุษยสัมพันธ์”
- การเข้ากับคนได้ดี การทำตัวให้คนรักคนชอบ เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้กันตลอดชีวิต
- ยิ่งคุณเก่งเรื่องมนุษยสัมพันธ์มากเท่าใด คุณจะยิ่งโชคดีมากขึ้นเท่านั้น
วิธีบางวิธีที่จะเก่งทางมนุษยสัมพันธ์
1. ปฏิบัติกฎทองคำ “ปฏิบัติกับผู้อื่น เหมือนกับที่เราต้องการให้เขาปฏิบัติกับเรา”
2. ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากหนังสือคลาสสิคด้านการสร้างมนุษยสัมพันธ์ ของ คาร์เนกี (How to win friends and pinfluence people)
** ที่สำคัญ การปฏิบัติให้ได้ผล ต้องปฏิบัติบ่อย ๆ จนตนเองเก่ง
- หน้าที่หลักของคอนดักเตอร์ คือ การทำงานกับคน (นักดนตรี) ไม่ใช่กับสิ่งของ (เครื่องดนตรี)
- ความสำเร็จของคอนดักเตอร์
30 % มาจากความฉลาด ความรู้ ความเก่งในศาสตร์
70 % มาจากความสามารถในการสร้างสถานการณ์ ที่ทำให้ผู้ร่วมงานทำงานได้ดีที่สุด
** ในโลกของการทำงาน ทักษะ มนุษยสัมพันธ์ จะมีความสำคัญต่อความสำเร็จ มากกว่าความเก่งเฉพาะด้าน
กฎข้อที่ 20 ช่วยเหลือผู้อื่น โดยไม่หวังผลตอบแทน
** การหว่าน ต้องมาก่อนการเก็บเกี่ยว
* ไม่ว่าเราหว่านอย่างไร ก็จะเก็บเกี่ยวอย่างนั้น เป็นกฎตายตัวอีกกฎหนึ่งของโลก การช่วยเหลือผู้อื่น เป็นการหว่านอย่างหนึ่ง ที่ต้องทำก่อน และควรทำโดยไม่ต้องห่วงการเก็บเกี่ยวหรือผลตอบแทน (ซึ่งจะมีมาแน่ ตามกฎตายตัวของโลก)
กฎข้อที่ 21 สร้างชื่อเสียงที่ดี
- ชื่อเสียง คือสิ่งที่คนอื่นพูดถึงคุณ เวลาอยู่ลับหลังคุณ
** ชื่อเสียงที่ดี จะทำให้คุณโชคดีได้อีกเยอะ เพราะจะทำให้คุณประสบความสำเร็จ ได้ง่ายขึ้นและเร็วขึ้
กฎเหล็กที่สำคัญ ที่เราต้องพึงจำไว้
“ People will do business with someone they know , Like and trust ”
(คนจะทำธุรกิจกับคนที่เขา รู้จัก ชอบ และเชื่อใจ)
- ยิ่งคนจำนวนมากเท่าไหร่ที่รู้จักเราและคิดถึงเราในทางที่ดี เราก็โชคดีมากเท่านั้น
** ภารกิจที่สำคัญที่สุดของคนที่อยากโชคดี คือ เพิ่มจำนวนคนที่รู้จักเรา ชอบเรา และ เชื่อใจเรา ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
กฎข้อที่ 22 อย่าหาโชคที่การพนัน
** ในโลกของการพนันไม่มีคนโชคดี นอกจากเจ้าของกาสิโน
- ไม่มีใครโชคดีจากการพนัน ถึงแม้คุณจะเล่นได้ตอนนี้ ในที่สุดคุณก็ต้องเสียเพราะเป็นธรรมชาติของมนุษย์จะไม่ยอมหยุดเล่นเมื่อกำลังได้ จะยอมหยุดเมื่อเล่นเสียหมดตัวแล้ว หรือจนเป็นหนี้มหาศาล
กฎข้อที่ 23 อย่าแสวงโชคที่ล๊อตเตอรี่
- คนที่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จขึ้นมาได้ด้วยตนเอง (Self-made people สร้างตัวขึ้นมาโดยสุจริต และด้วย ความสามารถตนเองแท้ ๆ ไม่เกี่ยวกับมรดก) จะไม่ซื้อล๊อตเตอรี เพราะเขารู้ว่า เงินได้มาจากงาน ได้มาจากไอเดีย ได้มาจากความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น
กฎของโลกอีกประการหนึ่ง คือ
“ You can’t keep anything you don’t deserve ”
คุณไม่สามารถรักษาอะไรที่คุณไม่สมควรได้รับไว้ได้
** การให้การศึกษาตนเองด้านการเงิน (Financial Education) จะทำให้คุณรู้จักการรักษาเงินนั้น และทำให้มันโตได้
กฎข้อที่ 24 อย่ามีศัตรู (ไม่ว่าโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ)
- ศัตรูแค่คนเดียว ก็สามารถทำให้ชีวิตเรามีโชคร้ายได้เยอะแยะมากมาย เพราะศัตรูคนนั้นก็มีเพื่อน ๆ และพรรคพวก ซึ่งอาจทำให้ชีวิตเรายากลำบาก ขึ้นมาก
กฎข้อที่ 25 คนโชคดี คือ คนขยัน
เบนจามิน แฟลงคลิน กล่าวไว้ว่า “ Diligence is mother of Goodluck ” ความขยัน เป็นมารดาของความโชคดี
โทมัส เจฟเฟอร์สัน กล่าวไว้ว่า
“ I am a Great Beliver In Luck , And I find The Harder I work ,
The More I have of It ”
“ ผมเชื่อเรื่องโชคเป็นอย่างมากและผมพบว่า ยิ่งผมทำงานหนักมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งมีโชคมากขึ้นเท่านั้น ”
** เมื่อเกี่ยวกับความสำเร็จแล้ว ไม่มีอะไรมาทดแทนการทำงานหนักได้
(เทคนิคบางอย่าง อาจทำให้ถึงความสำเร็จ เร็วขึ้น และง่ายขึ้น)
กฎข้อที่ 26 หาทางให้คนอื่นได้ประโยชน์ด้วย
- ยิ่งมีคนได้รับประโยชน์ (จากการรับใช้ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ของเรา) มากเท่าใรโชคดี ก็ยิ่งมาเยือนมากเท่านั้น
** อย่าคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเองฝ่ายเดียว ก่อนที่จะทำอะไร ควรคิดก่อนว่า คนอื่นจะได้รับประโยชน์จากสิ่งที่เราทำได้อย่างไร
- โลกทั้งโลกนี้ ประกอบไปด้วย “คนอื่น” ทั้งหมด ยกเว้นเพียงคนเดียวเท่านั้น คือ ตัวเราเอง
* โลกนี้ เป็นโลกของการพึ่งพาอาศัยกัน
“ You can have everything in life you want , If you will just help other people get what you want ”
* กุญแจสำคัญ
หาวิธีอะไรก็ตามที่เขาได้ และเราได้ ไปพร้อม ๆ กัน และเมื่อนั้น เราสามารถจะได้อะไรก็ได้ในชีวิต
** การคิดให้คนอื่นได้ผลประโยชน์ และเน้นตรงส่วนนั้น จะนำ “โชคดี” มาให้คุณมากมาย
กฎข้อที่ 27 การอิจฉาจะนำโชคร้ายมาเพิ่ม
** คนโชคดี จะยินดีกับคนอื่นเมื่อเขาได้ดี หรือประสบความสำเร็จ เวลาที่เราอิจฉาเขา มันสมองของเรากำลังมุ่งไปที่ที่ผิด คือ มุ่งไปที่สิ่งที่คนอื่นมี แต่ที่เราไม่มี
กฎธรรมชาติของโลก
“ You get more of what you focus on ”
ไม่ว่าสิ่งใดที่คุณเพ่งความสนใจไป สิ่งนั้น คุณจะมีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความจน ความป่วย ความมั่งมี ความสุข.......
- ยิ่งคุณมุ่งคิดไปในสิ่งที่คนอื่นมี และคุณขาด ความรู้สึกด้อยนั้นก็จะมีมากขึ้น
กฎข้อที่ 28 อย่าพูดว่า คู่แข่งหรือคนที่คุณไม่ชอบ “โชคดี”
** “ความโชคดี” คือวิธีการอธิบายความสำเร็จของผู้อื่น (ที่เราไม่ชอบ)
ฌอง คอดโต (นักเขียนชาวฝรั่งเศส)
EX สิ่งที่บัณฑิต อึ้งรังสี ทำ
ทำงานหนัก เพื่อที่จะได้เป็นเลิศในสาขาที่อยากเก่ง
มีวิธีการคิดที่แตกต่างจากคนทั่วไป (คิดต่างกัน ทำให้อนาคตต่างกัน)
ต้องใช้ความอดทน
ไม่ย่อท้อ เอาชนะความไม่ยุติธรรม
ข้อสำคัญ
1. มีเป้าหมายที่ชัดเจน
2. ทำงานหนัก เพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น ๆ
** ในโลกนี้ ทุกอย่างเป็นไปได้เสมอ เมื่อเรามีความเชื่อและความกล้า
- เวลาเราเห็นคนอื่นประสบความสำเร็จ เราไม่ควรบอกว่าเขาโชคดี เพราะ
• ส่วนใหญ่แล้ว เป็นเพราะคุณอิจฉาเขา
• เป็นการดูถูกคนอื่นนิด ๆ
• การที่คนอื่นประสบความสำเร็จหรือได้สิ่งดี ๆ มีเหตุเสมอ ไม่ว่าคุณ จะเห็นเหตุนั้นหรือไม่ก็ตาม
กฎข้อที่ 29 “ดูดี” เหมือนคนโชคดี
* เป็นเรื่องธรรมดาของโลก ที่คนที่ดูดี หล่อ สวย ก็จะได้โอกาสดี ๆ ในชีวิต มากกว่าคนที่ไม่โดดเด่น
“ดูดี” = ดูดีทั้งรูปร่างหน้าตา , การแต่งกาย , บุคลิคภาพ , ความเฉลียวฉลาด และความสะอาด
** การเป็นนักฟังที่ดี ให้ความสนใจอย่างจริงจังกับคนที่พูดคุยด้วย สามารถทำให้เราเป็นคนมีเสน่ห์ ซึ่งจะส่งผลอย่างมากต่อ “ ความโชคดี ”
- โชคและการดูดี มีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นอน
กฎข้อที่ 30 จงรู้จักเห็นค่าของสิ่งที่มีอยู่แล้ว
กฎนี้ เป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการเป็น “บุคคลที่โชคดี” หากคุณเป็นเจ้านายของกฎนี้ ไม่ยากเลยที่คุณจะเป็น “คนที่โชคดีที่สุดในโลก”
The Law of Gratitude
“ The more you appreciate what you already have , the more you will have”
ยิ่งคุณเห็นค่าสิ่งที่มีแล้ว คุณยิ่งมีเพิ่มขึ้น
**นอกจาก ความคิด ของเรา จะ“ดึงดูด”สิ่งต่าง ๆ เข้ามาในตัวเราแล้ว ความรู้สึก ของเรา ก็จะดึงดูดด้วย
“ความรู้สึกดี ๆ”ก็จะดึงดูดสิ่งของหรือสถานการณ์คล้าย ๆ กัน ที่คนทั่วไป เรียกว่า “โชคดี”
แหล่งที่มา : จากหนังสือ “30 วิธีเอาชนะโชคชะตา” ของ บัณฑิต อึ้งรังสี