วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

การรับรู้เกี่ยวกับตนเอง

การรับรู้เกี่ยวกับตนเอง
การับรู้เกี่ยวกับตนเอง เป็นสิ่งที่บุคคลจะต้องทำ การรู้จักตนเองก่อน วิธีที่บุคคลจะรู้จักตนเอง ได้ชัดเจนคือ การสำรวจตนเอง ทำให้บุคคลสามารถมองตนเองอย่างชัดเจน ทั้งในแง่บวกแง่ลบ ทั้งในส่วนที่ดีและส่วนที่ต้องปรับปรุง รวมไปถึง ความสามารถใน การสำรวจตนเอง ว่าตนเองมีบุคลิกภาพ ส่วนใดจะต้องพัฒนาให้ดียิ่งๆ ขึ้นและ การที่บุคคลจะรู้จักตัวเองได้นั้น
กันยา สุวรรณแสง (2533:322-326) อธิบายโดยสรุปว่า บุคคลจะต้องรู้จักตนเองอย่างน้อยใน 3 ลักษณะคือ
อันดับแรกได้แก่ อุปนิสัยของตนเอง เราต้องวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนว่า ตนเองมีอุปนิสัยอย่างไร อุปนิสัยใดดี ก็ควรส่งเสริมไว้ อุปนิสัยอะไรไม่ดี ก็ควรแก้ไขอาจจะใช้เวลานาน แต่ถ้าเรามีความตั้งใจจริง ก็สามารถทำได้
ประการที่สองคือ ลักษณะส่วนรวมของตน ลักษณะนี้คงต้องอาศัยจากผู้อื่นช่วยบอก บางครั้งเราไม่ต้องการ ฟังคำวิจารณ์ เพราะอาจจะทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด แต่เราจงอดทนฟัง คำวิจารณ์ เพราะคำทวงติง จากมิตรดีและ คนที่มีความจริงใจแล้ว เรานำมาไตร่ตรอง บางครั้งคำวิจารณ์ คำทวงติงเหล่านั้น อาจมีข้อคิดที่ดีมากมาย
และประการสุดท้ายคือ บทบาทของตน เราแต่ละคนมี สถานภาพ (Status) จึงต้องแสดง บทบาท(Role) เราจึงต้องแสดงตน ตามบทบาท ที่เราได้รับให้สมบูรณ์
นอกจากนี้ในเรื่อง การรับรู้เกี่ยวกับตนเอง เราทุกคนก็สามารถกระทำได้โดย การที่เราสามารถทำความเข้าใจในตนเองได้ทุกแง่ทุกมุม ทั้งมุมกว้างและมุมลึก ทั้งส่วนที่ดี และส่วนที่ยังต้องพัฒนา โดยเราต้องพยายามทำใจให้เป็นกลาง อย่าเข้าข้างตนเองมากเกินไป จนมองตนไม่ออก นั่นก็เท่ากับว่า ท่านไม่สามารถวิเคราะห์ตนเองได้ และสุดท้ายของการรับรู้ตนเอง คือ ความสามารถเปิดใจกว้าง ในการยอมรับฟัง ความคิดเห็นของผู้อื่น เพื่อนำมาพัฒนาตน สำหรับ การรับรู้ตนเอง ตามแนวคิดของคาร์ล โรเจอร์ ( Carl Rogers ) ซึ่งเป็นนักจิตวิทยากลุ่มมนุษยนิยม เขามีความสนใจเรื่อง มนุษย์ เขามองมนุษย์ในแง่ดีและเชื่อว่ามนุษย์มีธรรมชาติที่ดีงาม และมนุษย์ยังเป็นผู้ที่ได้รับการขัดเกลามาแล้ว รักความก้าวหน้า พูดจริง ทำจริง รวมทั้งมีความสามารถหลายๆ อย่าง แนวคิดที่สำคัญคือ เขาเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนนั้น มีความรู้สึกนึกคิด เป็นของตนเอง หรือ มีแนวความคิดของตนเอง ( Self Concept ) อาจจะกล่าวสรุปว่า มนุษย์มีภาพของตนจากตาที่มองเห็นสิ่งต่างๆ และภาพของตนจากใจ ในการนึกคิดภาพต่างๆ ที่เกิดเป็น มโนภาพทางจิตของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง คุณสมบัติ รูปสมบัติ และทรัพย์สมบัติ ตัวตนตามแนวคิดของคาร์ล โรเจอร์ จึงประกอบไปด้วยตัวตน 3 ประเภทคือ
1. ตัวตนที่เป็นจริง ( Real self )
2. ตัวตนที่คิดว่าเราเป็น (Perceived self )
3. ตัวตนที่เราต้องการจะเป็น (Ideal self )
ซึ่งในสภาพความเป็นจริงขณะนี้เรากำลังเป็นนักศึกษา เรากำลังนั่งเรียนอยู่ในห้อง การที่เรารับรู้ว่า เราเป็นนักศึกษา และกำลังนั่งเรียนอยู่ในห้อง ขณะนี้นั่นคือ ตัวตนที่เป็นจริง พอวันหนึ่งมีคนทักว่า เราอ้วนไป ซึ่งเราก็พยายามที่จะลดน้ำหนัก แต่ยิ่งลดน้ำหนักเท่าใดตัวเราก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ เมื่อมีเพื่อนๆ เห็นเราก็บอกเราว่า เธอยังคงมีรูปร่างเหมือนเดิม แต่ในใจเราบอกว่าจริงๆ แล้วเราลดน้ำหนักลงแล้ว ความคิดตรงนั้นคือตัวตนที่คิดว่าเราเป็น แต่ก็มีบางช่วงที่เราฝันอยากจะเป็นเศรษฐี เป็นคนรวย อยากมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย นั่นเป็นตัวตนที่เราต้องการจะเป็น ดังนั้นตัวตนที่อยู่กับตัวเรา จะประกอบด้วย ภาพภายในใจของเรา ตามที่เราคิด และจะต้องอยู่กับเราอย่างสมดุล และสอดคล้องกัน ส่วนภาพภายในใจของเรากับตัวตนจริงๆ ของเรา จะไม่ทำให้เราเกิดความคับข้องใจ เมื่อภาพทั้ง ภายในและภาพทั้งภายนอก สมดุลกัน บุคคลก็จะเกิด การรับรู้เกี่ยวกับตนเองอย่างถูกต้อง การรับรู้เกี่ยวกับตัวเอง ตามแนวคิดนี้จึงเน้นที่ รับรู้ตัวตน ทั้งภายในและภายนอก อย่างสอดคล้องกัน สำหรับเรื่อง การรับรู้เกี่ยวกับตัวเอง นั้นสิ่งที่บุคคลควรจะพิจารณาเป็นเรื่องต้นๆ 3 เรื่องคือ เรื่องตนเองซึ่งประกอบไปด้วย ลักษณะทางกาย และลักษณะทางจิต และเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ตนอยู่ตั้งแต่สังคม วัฒนธรรมรวมไปจนถึงอิทธิพลของสื่อต่างๆ ที่บุคคลเข้าไปเกี่ยวข้อง ดังจะอธิบายแยกเป็นข้อๆ คือ
1. การรับรู้เกี่ยวกับตนเองทางด้านลักษณะทางกาย ได้แก่การที่บุคคลต้องรู้จักตนเองใน ส่วนของสรีระทางกายว่า ตนเองมีรูปร่างหน้าตา หน้าตาเป็นอย่างไร ขนาดของร่างกาย ทรวดทรงและสัดส่วนของร่างกาย การทรงตัวกิริยาท่าทา งอิริยาบถต่างๆ ผิวพรรณ และรวมไปถึง สุขภาพของร่างกาย และมีสติปัญญา รู้คิดรู้พิจารณาในเรื่องต่างๆ ได้ มีความรู้ความสามารถ ที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ ลักษณะทางกาย เป็นเรื่องของพันธุกรรม เราคงกำหนดมากไม่ได้นัก แต่เราอาจดูแลรักษาให้ร่างกายสะอาด เป็นอย่างธรรมชาติ ที่กำหนด และงดงามตามธรรมชาติ หรือปรุงแต่งให้ดูดี ตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า ลักษณะทางกายของเราอาจบอก บุคลิกภาพของบุคคลได้
2. การรับรู้เกี่ยวกับตนเองทางด้านลักษณะทางจิต เป็นการรับรู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องอารมณ์ ความสนใจ ความถนัด แต่ถ้าจะกล่าว ให้ชัดลงไปคือ การรับรู้ในเรื่อง ลักษณะนิสัยของตนเอง ในความเป็นบุคคล นิสัยของบุคคล จะเริ่มจาก การที่บุคคล มีปฏิกิริยา ต่อสิ่งเร้าซึ่งเป็นการกระทำที่เกิดขึ้น โดยการผ่าน กระบวนการเรียนรู้ พอบุคคลโตขึ้นมาหน่อย เด็กที่เริ่มเรียนรู้ มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้า หลายๆอย่าง เด็กเกิดการโต้ตอบต่อสิ่งเร้าต่างๆ และเกิด การผสมผสานอย่างเป็นระบบขึ้น ในส่วนนี้ เราเรียกว่า เกิดลักษณะนิสัย ดังนั้นนิสัยจึงเป็น ระบบที่ถูกผสมผสานให้เกิด การโต้ตอบต่อสิ่งต่างๆที่เข้ามาเร้า สิ่งเร้า อาจเป็นคน สัตว์ สิ่งของ หรือเป็นสถานการณ์ก็ได้ พอเด็กเริ่มเข้าโรงเรียน จากเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันเริ่มเรียนรู้ เริ่มสะสมสิ่งต่างๆ เข้ามาในชีวิต เด็กเริ่มมี ระบบผสมผสานนิสัยต่างๆ มากขึ้นมี การรวมเอาสิ่งที่ได้เรียนรู้ทั้งที่ โรงเรียน วัด สื่อรูปแบบต่างๆเช่นวิทยุ โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต กลุ่มสังคมใกล้เคียงที่อาศัย ทำให้เด็กพัฒนา เจตคติ คุณธรรมและความสนใจเข้าไว้ด้วยกัน จากนิสัยก็กลายเป็น ลักษณะนิสัย และลักษณะนิสัยต่างๆ ถูกจัดระบบให้อยู่ในระบบใหญ่ที่เรียกว่า “ตัวของตัวเอง”หรือ “Self” แต่สามารถมีตัวของตัวเอง ได้มากกว่าหนึ่ง เช่น เป็นลูกที่น่ารักของแม่ เป็นเด็กดีของคุณครู เป็นนักว่ายน้ำ เป็นคนสนุกในหมู่เพื่อนๆ ตัวของตัวเองจึงมีลักษณะ ต่างกันไป ซึ่งการผสมผสานระบบต่างๆในขั้นสุดท้ายจึงเกิดเป็นบุคลิกภาพ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า ไม่มีอะไรที่จะสะท้อนให้เห็น บุคลิกภาพได้ดีเท่า “ลักษณะนิสัย” หรือ”อุปนิสัย”
อุปนิสัยมีความหมายกว้างกว่านิสัย เพราะอุปนิสัยเชื่อมโยงและรวมเอานิสัยต่างๆ ตั้งแต่สองอย่างเข้าไว้ด้วยกัน อุปนิสัยจะเป็นการตอบสนองในสภาพการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เช่น คนที่มีอุปนิสัยเอื้อเฟื้อ ก็จะมีนิสัยหลายๆ อย่างรวมกันเช่น เป็นคนใจดี เสียสละ เป็นคนมีเมตตากรุณา เป็นคนโอบอ้อมอารี ชอบสังคม มีความเป็นมิตรกับทุกคน เป็นต้น
นอกจากนี้แล้ว อุปนิสัย หรือลักษณะนิสัย ยังทำหน้าที่ประเมินค่า เมื่อมันทำงานร่วมกับ เจตคติ โดยเจตคติ จะใช้ประเมินความรู้สึก โดยจะแสดงออก ในเรื่องจะยอมรับได้ หรือไม่สามารถยอมรับ ในสิ่งต่างๆ หรือเรื่องต่างๆ เจตคติเป็น ความรู้สึกนึกคิด ที่บุคคลมีอย่างเฉพาะเจาะจงต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งนับเป็นการเชื่อมโยงความรู้สึกกับบางสิ่งบางอย่างโดยเฉพาะ แต่อุปนิสัยครอบคลุมไปยัง ลักษณะทั่วไป ส่วนเจตคติมีระดับความมากน้อยแตกต่างกันอาจอยู่ในระดับต่ำสุด ปานกลาง สูงสุด แต่อุปนิสัยมีเพียงระดับปกติ โดยอุปนิสัย ทำหน้าที่ชี้นำ หรือกำหนดพฤติกรรมต่างๆของบุคคลและทำหน้าที่ส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรม อุปนิสัยบางอย่าง ทำหน้าที่เป็นสิ่งเร้า หรือแรงจูงใจ ให้บุคคลแสดงพฤติกรรมต่างๆ โดยสิ่งเร้าต่างๆ จะกระตุ้นให้อุปนิสัย ทำหน้าที่ตามบทบาท ต่างๆของตนเอง อย่างเหมาะสม
3. การรับรู้เกี่ยวกับตนเองทางด้านสิ่งแวดล้อมนั้น เมื่อบุคคลเกิดมาทุกชีวิต ต้องสัมผัสกับสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ระบบครอบครัว ไปจนถึงระบบสังคมใหญ่ สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อบุคคลมาก เป็น ตัวกำหนดบุคลิกภาพ บุคคลต้องเรียนรู้ว่า ตนเองอยู่ใน สภาพสิ่งแวดล้อมอย่างไร และประเมินบรรทัดฐานทางสังคม ได้ว่าตัวเราพึงปฏิบัติตนอย่างไร
อย่างไรก็ดี เพื่อให้การศึกษาในเรื่องนี้เข้าใจยิ่งขึ้นท่านต้องมีความรู้พื้นฐาน เรื่องธรรมชาติของมนุษย์ และความต้องการของมนุษย์ เพื่อเป็นแนวทาง ให้ท่านเข้าใจเรื่อง การรับรู้เกี่ยวกับตนเองมากยิ่งขึ้น
ธรรมชาติของมนุษย์
ความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดของกลุ่มจิตวิทยาเกสตอล เช่น Frederick Solomon Perls ซึ่งเป็นนักจิตวิทยา “กลุ่มจิตวิทยา
เกสตอล” อธิบายว่า ความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์มี 7 ประการคือ
1. มนุษย์เป็นส่วนเต็มที่ประกอบขึ้นด้วยส่วนต่างๆ ที่ทำงานประสานกัน คือ ร่างกาย ความคิด ความรู้สึก การรับรู้ ซึ่งส่วนต่างๆเหล่านี้ จะเข้าใจในแต่ละส่วนเฉพาะไม่ได้ ต้องเข้าใจในลักษณะของเต็มส่วนทั้งตัวบุคคล
2. มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมจะเข้าใจบุคคลได้โดยปราศจากการเข้าใจสภาพแวดล้อมของเขาไม่ได้
3. มนุษย์เป็นผู้เลือกว่าเขาจะตอบสนองกับสิ่งเร้าภายนอกและสิ่งเร้าภายในตัวเขาอย่างไร มนุษย์เป็นผู้แสดงพฤติกรรม
4. มนุษย์มีศักยภาพที่จะรับรู้ สัมผัสในตัวเองได้เกี่ยวกับความคิดความรู้สึกและอารมณ์ของตัวเอง
5. มนุษย์สามารถตัดสินใจได้ เพราะเขาเกิดการรับรู้
6. มนุษย์สามารถรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. มนุษย์ไม่สามารถนำตนเองกลับไปสู่อดีตหรืออนาคตได้ เขาสามารถรับรู้เหตุการณ์ต่างๆได้ในสภาวะปัจจุบันเท่านั้น
ความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดของ “กลุ่มจิตวิทยาจิตวิเคราะห์” กลุ่มนี้มีนักจิตวิทยาที่สำคัญคือ Sigmund Freud ซึ่งเป็นนักจิตวิทยากลุ่มจิตวิเคราะห์อธิบายว่า ความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์มี คือ มนุษย์เกิดมาพร้อมกับสัญชาตญาณ ( instinctual drives ) แรงขับดังกล่าวเป็นพลังงานที่สามารถเปลี่ยนแปลงเคลื่อนที่ได้ สัญชาตญาณพื้นฐานคือ สัญชาตญาณแห่งชีวิต และสัญชาตญาณแห่งความตาย พฤติกรรมและการแสดงออกต่างๆ ของมนุษย์จะเกี่ยวข้องกับแรงจูงใจที่เป็นไปตามธรรมชาติ พฤติกรรมบางอย่างที่บุคคลแสดงไปโดยไม่รู้สึกตัวเป็นเพราะพลังจากจิตไร้สำนึกกระตุ้นให้บุคคลแสดงออกไปตาม หลักความพึงพอใจของตนอาการป่วยของบุคคลจึงเกิดขึ้นในระดับจิตไร้สำนึก( unconscious ) ทำให้มนุษย์ใช้กลไกในการป้องกันตัวเอง ( defense mechanism )
ความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดของ “กลุ่มพฤติกรรมนิยม”กลุ่มนี้มีนักจิตวิทยาที่สำคัญคือ Pavlov และ B.F. skinner ธรรมชาติของมนุษย์เกิดมาไม่ทั้งดีและเลวมนุษย์ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมพฤติกรรมทั้งที่ปกติและผิดปกติเป็น ผลมาจากการเรียนรุ้ซึ่งการเรียนรู้นี้สามารถทำให้เกิดขึ้นได้โดยการจัดสภาพสิ่งแวดล้อมภายใต้เงื่อนไขต่างๆและ การเรียนรู้เก่าสามารถ ทำให้หมดไป และสามารถสร้างระบบการเรียนรู้ใหม่ขึ้นได้ มนุษย์มีความสามารถที่จะควบคุมเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมของตนเอง แม้จะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมต่างๆ
ธรรมชาติเกี่ยวกับบุคคล ในเรื่องนี้ ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ ( 2541 : 40-42 ) อธิบายว่าธรรมชาติเกี่ยวกับบุคคล พอสรุปได้ดังนี้คือ
1. มนุษย์มีธรรมชาติของความเป็นผู้มีเหตุผลและการใช้อารมณ์ บุคคลที่ถูกมองว่า เป็นผู้มีเหตุผลเหมือนคอมพิวเตอร์ ที่มีชีวิต คนเป็นผู้มีระบบในการรวบรวมข่าวสารตามที่ต้องการ สามารถวิเคราะห์งานได้ละเอียด และระมัดระวัง สามารถชั่งน้ำหนัก และประเมินสถานการณ์และรวมถึง ความมีเหตุผลในการใช้ความคิด เอ็ดเวิร์ด ( Edward . 1954 , ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ . 2541: 41 ) นักจิตวิทยาได้ให้สมญานามมนุษย์ว่ามนุษย์เป็นผู้มีเหตุผลในกระบวนการของข่าวสารใน แนวคิดที่ตรงข้ามมนุษย์เป็น ผู้ใช้อารมณ์ หรือมนุษย์เป็นผู้ใช้อารมณ์หลากหลายบางคนก็ควบคุมตนเองไม่ได้และขาดสติ ตัวอย่างเช่น งานของ Freud ได้ชี้ให้เห็น จิตไร้สำนึก ของบุคคลเต็มไปด้วยความคับข้องใจซึ่งมีผลมาจากประสบการณ์ในวัยเด็กคือ มีการคิดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเหมือนกับพ่อกับลูก
2. มนุษย์มีธรรมชาติในลักษณะพฤติกรรมนิยมกับปรากฏการณ์นิยม นักจิตวิทยา กลุ่มพฤติกรรมนิยม อธิบายว่า การมองบุคคลใน การแสดงออกถึงพฤติกรรมต่างๆและเชื่อว่าพฤติกรรมสามารถปรับเปลี่ยนได้ถ้าถูกวางเงื่อนไขให้กระทำได้ วัตสัน ( Watson. 1930, อ้างอิงจากปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์. 2541 : 41 ) ได้อธิบายว่า “ให้เด็กทารกที่มีสุขภาพสมบูรณ์สักกลุ่มหนึ่ง ฉันสามารถอบรมเลี้ยงดู ให้เด็กเป็นไปตามที่ฉันต้องการได้ ตั้งแต่เป็นนายแพทย์ จิตกร แม้แต่ขอทานและโจร โดยดูจากความสามารถ ความถนัดในอาชีพ ตลอดจนเชื้อชาติของบรรพบุรุษ” และ สกินเนอร์ ( Skiners. ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์. 2541 : 41 ) อธิบายว่า “พฤติกรรมของมนุษย์สามารถปรับได้ แต่ก็มีนักจิตวิทยาบางท่านที่อาจเห็นว่า บุคคลมีความสามารถตามระดับสติปัญญาของเขาเอง เราไม่สามารถทำนายได้ว่าเขาเป็นอย่างไร เขาอยู่ในโลกของเขา เขามีความเป็นตัวของเขาเอง บุคคลแต่ละคนมีบุคลิกภาพเฉพาะตัว การศึกษาเกี่ยวกับคนต้องศึกษาทุกๆ ด้าน บุคคลเป็นผู้มีสมรรถภาพมากกว่าที่เรารู้จัก
3. มนุษย์มีธรรมชาติที่จะคำนึงเศรษฐกิจและการรู้จักตนเอง ในหัวข้อนี้อธิบายว่า มนุษย์เป็นผู้มีเหตุผลและใช้เหตุผล การคำนึงถึง สิ่งที่จะสร้าง ความพึงพอใจของตนเองในการลงทุนและลงแรงน้อยที่สุด ความพึงพอใจไม่ได้หมายถึงความภูมิใจในงานเท่านั้น หากแต่เป็นความรู้สึกถึง ความสามารถกระทำสิ่งใดๆได้สำเร็จและบางคนอาจหมายถึงเงินหรือเศรษฐกิจนั่นเอง การที่มนุษย์จะเป็นผู้ที่รู้จักตนเองได้ มนุษย์ก็ต้องศึกษา เรื่องของตนเองอย่างละเอียด ว่าตนเองต้องการอะไร มีปัจจัยใดบ้างที่ทำให้ตนเองสามารถพัฒนา พฤติกรรมที่เรากระทำอยู่นี้ เป็นเหตุเป็นผล เรื่องใด แต่หลายคนคงปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งมาจากเรื่องเศรษฐกิจนั่นเอง
ธรรมชาติของมนุษย์
แนวคิดเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ แนวคิดในเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ ผู้เขียนขอสรุปแนวคิด เรื่องธรรมชาติของมนุษย์ไว้ดังนี้ คือ
1. มนุษย์เป็นผู้มีศักดิ์ศรี แนวความคิดนี้เชื่อว่ามนุษย์มีความดีงามติดตัวมาตั้งแต่เกิด และมนุษย์มีความสามารถ ที่จะพัฒนาตนเอง ให้เต็มศักยภาพเท่าที่ตนเองต้องการ การเคารพและให้เกียรติกันจึงเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา
2. มนุษย์มีความแตกต่างกัน แตกต่างในเรื่องพันธุกรรม ในเรื่องสิ่งแวดล้อม แตกต่างกันในเรื่องการอบรมเลี้ยงดู รวมไปถึงวัฒนธรรม ที่ตนเองอยู่ เราไม่เหมือนคนอื่นและคนอื่นก็ไม่เหมือนกับเรา เราก็มีความรู้ความสามารถ ความถนัดอย่างหนึ่ง คนอื่นก็มีความรู้ความสามารถ อีกอย่างหนึ่ง ต่างคนต่างมีความรู้ความสามารถ ที่แตกต่างกันจะให้เขา เหมือนเรา และจะให้เราเหมือน เขาคงเป็นไปไม่ได้ หรือในเรื่องเพศต่างกันการกระทำ ความคิด ความสนใจ เจตคติก็แตกต่างกัน ดังนั้นเมื่อรู้ว่า มนุษย์มีความแตกต่างกัน เราก็ยอมรับธรรมชาติ ของแต่ละคน ไม่เอาเขามาเปรียบกับเรา ไม่เอาตัวเราไปตั้งเกณฑ์ประเมินค่าตามคนอื่น อยู่แบบเขาเป็นเขาและเราก็เป็นเรา เคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกันชีวิตก็มีค่า ชีวิตก็มีความสุข
3. มนุษย์มีแรงจูงใจในทางที่ดี ที่สูงขึ้นมนุษย์ต้องการที่จะพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น มนุษย์มีแรงจูงใจ จะทำให้มนุษย์กระทำ สิ่งต่างๆ เพื่อให้ตนเองไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ
4. พฤติกรรมของมนุษย์ทุกอย่างต้องมีสาเหตุ มีที่มามีที่ไปบุคคลจะไม่กระทำสิ่งใด ๆ แบบไร้สติ ไร้ความนึกคิด แต่การกระทำของบุคคล มีเหตุผลแห่งการกระทำโดยทั้งสิ้น เช่น คนที่ขยันทำงานอาจมาจากความต้องการผลสัมฤทธิ์ในงาน ต้องการความภูมิใจในตนเอง หรือแม้บางคนอาจต้องการเงินเป็นต้น อย่างไรก็ดีเราไม่สามารถเข้าใจพฤติกรรมของคนอื่นว่ามาจากสาเหตุใด แต่ว่าเราทราบ สิ่งที่ตัวเราเป็น ตัวเรากำลังจะทำอะไร การที่จะเป็นและการที่จะทำจะต้องมีพื้นฐานที่ชอบธรรม มีคุณธรรมกำกับ มีมโนธรรมสอนใจ ซึ่งจะทำให้เราเป็นคนที่ดีมีสุข และมนุษย์ก็รู้ว่าสิ่งที่ตนเองกระทำมีสาเหตุมาจากอะไร
5. มนุษย์มีความต้องการ ความต้องการของมนุษย์จะเริ่มจากสิ่งที่เป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต และเมื่อความต้องการนั้นๆ ได้รับการตอบสนองแล้ว บุคคลก็จะมีความต้องการในลำดับที่สูงขึ้นตามลำดับ เช่น ต้องการความรัก ต้องการเกียรติยศชื่อเสียง ฯลฯ
6. มนุษย์มีความต้องการพัฒนาการชีวิต การพัฒนาการของมนุษย์จะพัฒนาการเป็นไป ตามช่วงวัย วัยต่างๆของมนุษย์ จะทำให้เห็นการพัฒนาบุคลิกภาพของมนุษย์ตามช่วงวัย ถ้าบุคคลที่มีการพัฒนาการปกติ พัฒนาการบุคลิกภาพก็จะเพิ่มขึ้น หรือพัฒนาตามอายุ หรือตามช่วงวัยเช่นเดียวกัน เช่น พัฒนาการบุคลิกภาพของวัยผู้ใหญ่ย่อมจะดีกว่าวัยรุ่น แต่อย่างไรก็ดีพัฒนาการที่เป็นไปตามลำดับขั้นก็จะสร้างเสริมบุคลิกภาพของบุคคลให้เป็นรอยประสบการณ์ของบุคคลด้วย
7. มนุษย์ต้องการการผักผ่อน การนอนหลับหรือแม้แต่การไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจก็ เป็นการทำให้ชีวิตสดชื่นขึ้น ยามใดที่บุคคล ทำงานจนลืมนึกถึงตนเอง ยามนั้นความเหนื่อยความเมื่อยล้าทำให้ประสิทธิภาพของบุคคลลดน้อยถอยลง นั่นเป็นสิ่งที่เตือนว่า ถึงเวลาที่ต้องพักผ่อนแล้ว
8. มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มนุษย์ต้องการเพื่อน ต้องการกลุ่ม ต้องการสมาคม ไม่มีใครอยู่คนเดียวในโลก เราไม่ได้เกิดจากกระบอกไม้ไผ่ เราทุกคนมีพ่อมีแม่ มีคนหลายคนเลี้ยงดูเรา มีหลายคนที่ดูแลอบรมให้การศึกษาเรา การมีเพื่อน การมีกลุ่มจะทำให้เราไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ยามทุกข์หรือสุข มีใครสักคนที่พร้อมจะฟังเราอยู่ข้างๆ เรา นี่แหละที่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม
9. มนุษย์ต้องการขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรม มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมี กรอบในการดำเนินชีวิต ตามกระแสของสังคม และประเทศชาติ และสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยในการปลูกฝังเจตคติ ค่านิยม แนวคิด การตัดสินใจ รวมไปถึงการแสดงพฤติกรรมต่างๆ ที่ทำให้บุคคลแตกต่างกันด้วย
10. มนุษย์มีความต้องการ การอยากรู้อยากเห็น การอยากเข้าใจในสิ่งที่ตนเองไม่รู้ ดังนั้นมนุษย์ต้องเรียนรู้ เพื่อพัฒนาศักยภาพของตนเอง และตอบคำถามความอยากรู้ การใคร่จะรู้ด้วยตนเอง และการอยากรู้อยากเห็น ในแต่ละบุคคลก็แตกต่างกันด้วย
ในเรื่องการรับรู้เกี่ยวกับ ตนเองเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพนั้นยังมีแนวคิดอื่น ๆ อีก ที่ช่วยให้การ ศึกษาเรื่อง การพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคลนั้นๆ แต่สิ่งสำคัญที่ควรทำความเข้าใจร่วมกัน กล่าวคือความหมายของคำว่า บุคลิกภาพหมายถึงอะไร บุคลิกภาพ หมายถึง ทุก ๆ อย่าง ที่เป็นตัวเรา ทั้งที่ปรากฏและที่ซ่อนเร้น หรือในส่วนที่เป็นแนวคิด ค่านิยม ความเชื่อ คุณภาพทางจิต จิตแบบยึดติด หรือจิตแบบสารธารณะ คือจิตที่รู้จักให้ รู้จักอภัย รู้จักปล่อยวางและรู้จักที่จะเกื้อกูล ในสังคมมีคนหลากหลายมากมายท่านรู้หรือไม่ว่ามนุษย์มีความต้องการอะไรเขาอาจจะต้องการเงิน ต้องการเกียรติ ต้องการอำนาจ หรือไม่ก็ขอให้ถูกรางวัลกับเขาสักงวด บางคนอาจขอแค่มีกินก็มีความสุขแล้ว บางคนอาจขอแค่ลูก ๆ เป็นคนดีเท่านี้ก็พอใจแล้ว หลากหลายคำตอบหลากหลายความคิดซึ่งทุกคนคิดได้ ฝันได้และหวังได้ ส่วนจะเป็นตามที่หลายคนฝัน หรือหลายคนหวังหรือไม่นั้น จะเป็นไปตามที่เราต้องการหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่สำหรับแนวคิดของนักจิตวิทยา หลายท่านเชื่อว่า มนุษย์มีความต้องการ และได้อธิบายว่า มนุษย์มีความต้องการอะไร
ความต้องการของมนุษย์
แนวความคิดของมาสโลว์ ( Maslow ) เชื่อว่ามนุษย์มีความต้องการที่จะบรรลุถึงขีดสูงสุดของศักยภาพ มาสโลว์ เรียกความต้องการนี้ว่า การเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง ภาษาอังกฤษตรงกับคำว่า “Self Actualization” คำนี้เป็นความต้องการสูงสุดของมนุษย์ ( สำหรับของ Roger มนุษย์ต้องการที่จะเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “fully functioning self”และ Frederick Solomon Perlsบอกว่ามนุษย์ต้องการที่จะรับรู้ตนเองอย่างมีประสิทธิภาพตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “Self-awareness”) ความต้องการขั้นสูงสุดนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อความต้องการในขั้นแรก ๆ ได้รับการตอบสนอง ถ้าพูดกันถึงเรื่องความต้องการ มาสโลว์ แบ่งความต้องการของมนุษย์ ออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้คือ
ความต้องการลำดับที่ 1 ได้แก่ ความต้องการทางด้านสรีระ เป็นความต้องการพื้นฐานที่ใช้ในการดำรงชีวิต ได้แก่ ที่อยู่อาศัย อาหาร ยารักษาโรค เครื่องนุ่นห่ม รวมไปถึงการพักผ่อน การรักษาสภาวะสมดุลภายในร่างกาย
ความต้องการลำดับที่ 2 ได้แก่ ความต้องการที่เกี่ยวกับความมั่นคง ความปลอดภัย สวัสดิการต่างๆ การคุ้มครองรวมไปถึงความช่วยเหลือจากผู้อื่น การรู้สึกว่าได้รับการปกป้อง
ความต้องการลำดับที่ 3 ได้แก่ ความต้องการที่เกี่ยวกับการเป็นเจ้าของ การรวมกลุ่มเป็นสมาคม กลุ่มร่วมงาน การมีมิตรภาพที่ดีกับคนอื่นๆ
ความต้องการลำดับที่ 4 ได้แก่ ความต้องการที่เกี่ยวกับเกียรติยศชื่อเสียง การยกย่องนับถือและการยอมรับจากสังคม
ความต้องการลำดับที่ 5 ได้แก่ ความต้องการที่เกี่ยวกับ การเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง การซื่อสัตย์ต่อตนเอง การประพฤติปฏิบัติ ในแนวทางที่เหมาะสม การกระทำสิ่งต่างๆ ตามความสามารถของตน
เมื่อใดที่บุคลิกภาพของคนได้รับการพัฒนาจนถึงขั้นที่ 5 หรือมีความต้องการเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง บุคคลจะมีลักษณะบุคลิกภาพดังนี้ คือ สามารถรับรู้ความจริงได้อย่างถูกต้อง
ยอมรับตนเอง ผู้อื่น และความเป็นไปของโลก ควบคุมความคิดและพฤติกรรมของตนเองได้ มีความสามารถในการแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง มีความอดทนและอดกลั้นต่อสถานการณ์ต่างๆได้ มีความสันโดษและต้องการอยู่ลำพังอย่างเสรี มีอารมณ์ที่มั่นคง มีมนุษย์สัมพันธ์อันดีกับบุคคลทั่วไป มีความเป็นประชาธิปไตย มีความคิดสร้างสรรค์ เข้าใจความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น มีความซาบซึ้งในคุณค่าของความดีงาม แต่การจะเกิดบุคลิกภาพที่พัฒนาดังกล่าวข้างตันได้บุคคลจะต้อง มีลำดับขั้นการพัฒนา ตั้งแต่ความต้องการทางร่างกาย ไล่ขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงขั้นสุดท้ายบางท่านการก้าวกระโดด บางท่านอาจวิ่งขึ้นวิ่งลงอยู่ในช่วงใดก็ได้ แต่ความต้องการลำดับแรก อันได้แก่ความต้องการทางร่างกาย จะมีอำนาจมากกว่าความต้องการทางสังคม และความต้องการทางสังคม ก็จะรุนแรงกว่าความต้องการความสำเร็จ ถ้าบุคคลยัง ไม่ได้รับการตอบสนองในความต้องการลำดับแรกๆ บุคคลก็จะไม่เกิดความต้องการ ที่จะเข้าใจ ตนเองอย่างแท้จริง
ในเรื่องทฤษฎีความต้องการนั้นยังมีแนวคิดของนักจิตวิทยาอีกท่าน ที่น่าสนใจคือ ทฤษฎีของเมอร์เรย์ นักจิตวิทยาท่านนี้เชื่อว่า ความต้องการของมนุษย์แบ่งออกเป็น สองประเภทคือ
ประเภทที่หนึ่ง ความต้องการขั้นปฐมภูมิ หรือความต้องการทางร่างกาย ได้แก่ ความต้องการอาหาร น้ำ ความต้องการทางเพศ ความหิว ความกระหาย ความต้องการการพักผ่อน ความต้องการขับถ่าย
ประเภทที่สอง คือความต้องการขั้นทุติยภูมิหรือความต้องการทางจิตใจ ได้แก่ ความต้องการในขั้นนี้ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ ร่างกายไม่ได้รับ ความพึงพอใจ หรือขบวนการของอินทรีย์ไม่สมดุลกัน และมนุษย์จะพัฒนาบุคลิกภาพ เพื่อให้สนองความต้องการของตนเอง ออกมาโดยจะมีลักษณะดังนี้ คือ
ความต้องการถ่อมตน เป็นบุคลิกภาพที่ยอมต่อบุคคลอื่น ยอมรับความเจ็บปวด ยอมรับคำตำหนิ ยอมแพ้ ยอมรับการถูกวิพากวิจารณ์เป็นผู้ยอมรับว่า ตนเองด้อย เป็นผู้ที่สามารถยอมรับสภาพและแก้ตัว ปรับตัวใหม่ได้
ความต้องการผลสัมฤทธิ์ เป็นความต้องการที่จะทำสิ่งที่ยากๆ ท้าทาย ต้องการเป็นผู้นำ ชอบกระทำสิ่งต่างๆที่รวดเร็ว และชอบเป็นอิสระเท่าที่จะเป็นได้ ชอบเอาชนะ อุปสรรคและชอบตั้งความหวังไว้สูง รวมไปถึงชอบเอาชนะคนอื่น อยากให้คนอื่นเห็นคุณค่าของตนเองโดยการใช้ความสามารถทางสติปัญญา
ความต้องการผูกไมตรีกับคนอื่น เป็นลักษณะของการชอบให้ความร่วมมือกับบุคคลอื่น และชอบตอบแทนบุญคุณใครดีกับเราเราก็จะลึกได้ มีลักษณะชอบทำให้คนอื่นรัก ชอบติดสอยห้อยตามไปไหนๆกับเพื่อนฝูง
ความต้องการเชิงรุก เป็นความต้องการ ที่ถ้าใครมามีทีท่าว่า จะรุกรานเรา บุคคลก็จะแสดงให้เห็นว่า ไม่ยอมกล่าวโทษคนอื่น ทำโทษคนอื่น ไม่พูด ไม่สนใจไม่ไยดี ทำทุกอย่างให้รู้ว่าโกรธ
ความต้องการเป็นอิสระ เป็นลักษณะของการหนีจากการถูกบังคับ การต่อต้านการใช้อำนาจ หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้อำนาจ ชอบทำอะไรที่สบายๆ อิสระ ไม่ผูกมัด
ความต้องการเอาชนะ เป็นพวกที่ต้องการเอาชนะความล้มเหลวโดยการหันหน้าเข้าต่อสู้ พยายามลบล้างความอับอาย โดยการกระทำพฤติกรรมซ้ำ ชอบเอาชนะความอ่อนแอโดยการเก็บความกลัวเอาไว้ พฤติกรรชอบเอาชนะเป็นพฤติกรรมที่ค่อนข้างไม่ซื่อสัตย์ บางครั้งอาจชอบแสวงหาความยากลำบากและอุปสรรคเพื่อเอาชนะ ต้องการคงไว้ซึ่งความเคารพตนเองและภูมิใจในตนเอง
ความต้องการป้องกันตัว เป็นการป้องกันตัวจากการถูกทำร้าย หรือถูกวิพากษ์วิจารณ์ เป็นการแก้ตัวจากความเป็นจริง ความล้มเหลว การเสียเกียรติโดยการป้องกันตนเอง
ความต้องการยกย่องผู้อื่น เป็นความนิยมชมชอบ สรรเสริญ ชื่นชมคนอื่นว่าดีแล้วเราก็ทำตามอย่างเขา เช่น มีเพื่อนใจเย็น พูดจาไพเราะเราก็ปรารถนาเป็นแบบเขา เพื่อต้องการให้คนอื่นยกย่องเราบ้าง
ความต้องการแสดงออกเป็นความต้องการให้ผู้อื่นเห็น ได้ยินตนเอง ชอบตื่นเต้น ชอบคำชมเชย ทำทุกอย่างให้คนพอใจพฤติกรรมตนเอง แสดงให้คนอื่นเห็น
ความต้องการมีอำนาจเหนือคนอื่น เป็นลักษณะการชอบควบคุมมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ชอบมีอิทธิพลเหนือคนอื่น มักใช้คำสั่งหรือบังคับ มักเป็นบุคคลที่พยายามเปลี่ยนแปลงความคิดของคนอื่นไม่ได้ด้วยเลห์ก็เอาด้วยกล พยายามทุกวิถีทางที่ให้คนฟังตน จนทำร้ายคนอื่นก็ไม่สนใจ ทำร้ายทางตรงไม่ได้ ก็ทำร้ายผู้อื่นทางอ้อม เดินนินทาคนโน้น คนนี้ ทั้งๆที่ตัวเองไม่ดี ใครอยู่ด้วยปวดหัว
ความต้องการหลีกเลี่ยงอันตราย เป็นความต้องการที่มนุษย์ไม่ต้องการให้ตนเองเจ็บตัว ความเจ็บป่วย ความตาย หรือแม้แต่อันตรายต่างๆ
ความต้องการหลีกเลี่ยงความอับอาย เป็นการหลีกเลี่ยงการเสียชื่อเสียง หลีกเลี่ยงจากสถานการณ์ที่ทำให้ตนเองรู้สึกตกต่ำ
ความต้องการช่วยเหลือผู้อื่น เป็นความต้องการเห็นใจทำให้คน พึงพอใจที่จะช่วยเหลือคนอื่นให้พ้นทุกข์ ช่วยคนอื่นที่อ่อนแอกว่า ช่วยคนอื่นที่อ่อนประสบการณ์และช่วยคนอื่นที่ไม่มีเกียรติเท่าเราและเราปรารถนาที่จะช่วยเขาจริงๆ และช่วยอย่างจริงใจ
สิ่งที่มนุษย์ต้องการตามแนวคิดของนักจิตวิทยา คืออะไร ความต้องการเหล่านั้นได้รับการตอบสนองแล้วหรือยัง ถ้าเราใช้แรงปรารถนาของตนเองแล้วผักดันความต้องการของตนเอง สร้างสรรค์ความต้องการนั้นๆให้เป็นพลังแห่งการสร้างสรรค์ เมื่อนั้นเราจะพบว่า ชีวิตในช่วงหนึ่งของเรามีคุณค่าทีเดียว จงหาความต้องการของตนเองให้ได้ จงรู้จักตนเองให้ดี ใครจะมารู้จักตัวเราดีเท่าตัวเราเองไม่มีอีกแล้ว และเมื่อเราเข้าใจความต้องการและความปรารถนาของตนเองเราก็จะพัฒนาบุคลิกภาพตามทิศทางที่เราต้องการได้ สำหรับเรื่องการพัฒนาบุคลิกภาพ ผู้ศึกษาควรเข้าใจเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่ององค์ประกอบที่ทำให้บุคลิกภาพ ทางสมบูรณ์นั้น มีลักษณะอย่างไร ดังจะอธิบายดังต่อไปนี้
การวิเคราะห์ตนเอง
การวิเคราะห์ตนเองมีหลักการ 4 ประการคือ การที่บุคคลจะต้องรู้จักตนเอง รู้จักความต้องการของตนเอง รู้จักที่จะยอมรับตนเอง และพัฒนาตนเองไปให้เต็มศักยภาพของตน ทั้งสี่ประการจะทำให้บุคคลสามารถวิเคราะห์ตนเองได้และเมื่อเราสามารถวิเคราะห์ตัวเราได้เราก็สามารถพัฒนาตนไปตามทิศทางที่เราต้องการ ซึ่งในแง่ของการพัฒนาบุคลิกภาพเพื่อช่วยให้การวิเคราะห์ตนสมบูรณ์เราควรสนใจศึกษาเรื่ององค์ประกอบที่ทำให้บุคลิกภาพทางกายสมบูรณ์ ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาตนในที่สุด
องค์ประกอบที่ทำให้บุคลิกภาพทางกายสมบูรณ์ ได้แก่เรื่องสุขภาพกายและสุขภาพจิต โดยสรุปคือ สถิต วงศ์สวรรค์. ( 2540 : 185-187 )
1. สุขภาพกาย เป็นองค์ประกอบพื้นฐาน จะว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด สำหรับ บุคลิกภาพทางกายที่สมบูรณ์ ก็คงไม่ผิดนัก เพื่อให้มองเห็นความสำคัญของบุคลิกภาพว่าทำให้บุคลิกภาพทางกายดีขึ้นอย่างไร จะแยกกล่าวไว้สามประการดังนี้
1.1 คนมีสุขภาพดีย่อมมีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ สามารถทำงานได้คล่องแคล่วว่องไว สามารถเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ทางสังคมได้อย่างสะดวก เป็นที่ยอมรับของบุคคลอื่นๆ โดยทั่วไปเข้ากับคนได้ง่าย มีมนุษยสัมพันธ์ดี พูดเก่งคุยสนุก เพราะมีสุขภาพดีนั่นเอง
1.2 สุขภาพที่ดีย่อมทำให้ดูมีน้ำมีนวล หน้าตาแจ่มใส มีกิริยาท่าทางรื่นเริงและเป็นสุขมี
ผลทำให้จิตใจดีด้วย จึงเป็นคนน่าคบหาสมาคมด้วย นับว่าเป็นบุคลิกภาพที่ดึงดูดความสนใจคนอื่นๆได้มาก
1.3 คนที่มีสุขภาพดีย่อมปราศจากโรคภัยไข้เจ็บซึ่งเป็นที่น่ารังเกียจ สุขภาพที่ดียังทำให้
ส่วนอื่นของร่างกายสง่างามไปด้วยเช่น ผิวพรรณ ผม เล็บย่อมมีลักษณะงาม สัดส่วนของร่างกายสมบูรณ์เป็นที่ชื่นชมแก่ผู้พบเห็น บุคคลที่ปราศจากโรคเป็นคนที่มีลาภอันประเสริฐ ( อโรคยา ปรมา ลาภา ) สุขภาพของบุคคลขึ้นอยู่กับองค์ประกอบที่สำคัญคือ
1.3.1 การบริโภคอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย จะช่วยส่งเสริมความเจริญเติบโตของคนต้อง
รับประทานให้ได้สัดส่วนและครบ 5 หมู่ อาหารดีมีประโยชน์ไม่จำเป็นต้องรสดี ราคาแพงแต่เน้นที่ธาตุอาหาร ให้ผลดีแก่สุขภาพต้องสร้างนิสัยที่ดีในการรับประทานอาหาร รับประทานเป็นเวลา ไม่รับประทานจุบจิบไม่เลือกเวลา รับประทานไม่มากหรือน้อยเกินไปไม่ตามใจปากตามใจท้อง ไม่ใช่ว่าชอบอะไรก็รับประทานแต่อย่างนั้น คนที่ชอบรับประทานขนมหวานมากๆจะทำให้อ้วน บางคนไม่ชอบผักก็ไม่แตะต้องเลย ทำให้ขาดธาตุอาหารเป็นผลร้ายต่อสุขภาพ
1.3.2 การออกกำลัง จะช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตด้วยดี มีสุขภาพสมบูรณ์ อวัยวะส่วนใดไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานานๆจะไม่เจริญเติบโตและแข็งแรงเท่าที่ควร แขนขา ถ้าไม่ได้ใช้นานๆ จะไม่เจริญเติบโตและแข็งแรงเท่าที่ควร แขนขาถ้าไม่ใช้งานนานๆก็จะลีบเล็กลง เดินไม่ได้ จึงควรออกกำลังสม่ำเสมอ ด้วยการเล่นกีฬา หรือการทำงาน กายบริหาร วิ่ง เป็นต้น แต่ต้องไม่มากนักและไม่หยุดไปนานๆ
1.3.3 การพักผ่อน ที่ดีที่สุดคือการนอนหลับ วัยรุ่นควรนอนวันละ 8 ชั่วโมง บางคนอาจมากน้อยกว่านี้ นอนเท่าไรจึงเพียงพอก็สังเกตได้ง่ายๆ ถ้าไม่ง่วงในเวลากลางวันเป็นใช้ได้ ถ้าง่วงอ่อนเพลียแสดงว่านอนพักผ่อนไม่พอ การพักผ่อนที่ดียังมีวิธีต่างๆอีกหลายวิธี เช่นดูมหรสพ หรือ ดูการแสดงต่างๆ ฟังหรือแสดงดนตรี ร้องเพลง ทำให้เกิดอารมณ์ชื่นบาน การอ่านหนังสือ ทำงานอดิเรกทำให้เกิดความสุข ความสบายใจได้มาก แต่คนที่ใช้เวลาพักผ่อนมากเกินไปจัดว่าเป็นคนไม่เสียดายเวลาสำหรับทำประโยชน์
1.3.4 ขนาดของร่างกาย คนที่อ้วนหรือผอมเกินไปควรปรึกษาแพทย์ ส่วนเตี้ยหรือสูงนั้น การบริหารร่างกายช่วยได้บ้างแต่ก็น้อยเต็มที
1.3.5 ทรวดทรงและสัดส่วนของร่างกาย ผู้ชายชอบสูงใหญ่ ไหล่กว้าง ล่ำสัน มีกล้ามเนื้องาม การเพาะกายช่วยได้ง่าย ผู้หญิงนิยมคนรูปร่างสมส่วนเพรียว ไม่อ้วน การบริหารร่างกาย การรักษาอนามัยจะช่วยให้มีเอกลักษณ์ของเอกบุรุษและสตรีได้
1.3.6 การทรงตัวและอิริยาบถ มีความสัมพันธ์กับบุคลิกภาพทางกายอยู่มาก ลักษณะการนั่ง นอน เดิน การเคลื่อนไหวของร่างกายในตัวคน บางคนก็น่าดู บางคนก็เก้งก้างน่ารำคาญบางคนนั่งงอตัว เดินก้มหน้า ต้องรีบแก้ไขฝึกหัดใหม่ในลักษณะที่ส่งเสริมให้บุคลิกภาพดี
1.3.7 คุณภาพของผิวและส่วนอื่นๆของร่างกาย คนไทยนิยมผิวขาว ละเอียดอ่อนปราศจากผดผื่น ตำหนิ ผม เล็บ ฟัน ควรรักษาให้ดี
1.3.8 ความสะอาด เป็นสิ่งที่ส่งเสริมบุคลิกภาพและสุขภาพอย่างมาก ควรรักษาและทำความสะอาดร่างกายอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการติดโรคและทำให้ตนมีคุณค่าสูงขึ้น จะต้องรักษาความสะอาดของร่างกาย เครื่องแต่งตัว อาหาร เคหสถาน
2. สุขภาพจิต สำหรับเรื่องสุขภาพจิตที่สมบูรณ์นั้น ย่อมจะส่งเสริมสุขภาพของร่างกายให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นและทำนองเดียวกัน สุขภาพของร่างกายก็ส่งเสริมให้บุคคลมีสุขภาพจิตดีขึ้นตามลำดับ ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต จะเป็นตัวส่งเสริมซึ่งกันและกัน ที่ทำให้บุคคลมีบุคลิกภาพที่สมบูรณ์ บุคคลจึงควรแสวงหาวิธีการที่จะทำให้จิตที่ดีเกิดขึ้นได้จาก ความพึงพอใจในตนเอง การมีอารมณ์สดชื่นหรือชื่นบาน ความสดชื่นแจ่มใส ความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล ความปรารถนาดีต่อผู้อื่น ความบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ประพฤติผิดทั้งต่อกฎของสังคมและหลักศาสนา มีความเมตตา กรุณา สามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสม และไม่เป็นคนที่มองโลกในแง่ร้าย จนเกินไปไม่เห็นคนอื่นเป็นศัตรูกับตน บุคคลในลักษณะดังกล่าวย่อมจะไม่เสียสุขภาพจิต หรือมีบุคลิกภาพสมบูรณ์ทั้งกายและใจนั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น